ราคาทองคำพุ่งทำสถิติใหม่เหนือระดับ 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สะท้อนความกังวลของนักลงทุนทั่วโลกที่เริ่มหมดศรัทธาต่อเสถียรภาพของเงินดอลลาร์สหรัฐท่ามกลางวิกฤตหนี้ที่กำลังถล่มสหรัฐอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันกระแส "De-Dollarization" หรือการลดการพึ่งพาดอลลาร์ของประเทศต่างๆ กำลังเกิดขึ้นอย่างเข้มข้น โดยมีธนาคารกลางทั่วโลกเป็นหัวหอกในการเปลี่ยนผ่านสำคัญนี้ ผ่านการเร่งสะสมทองคำในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบหลายทศวรรษ
ราคาทองคำในตลาดโลกแตะระดับ 3,317.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันที่ราคาทองพุ่งขึ้นล่าสุด โดยได้รับแรงหนุนจากความตึงเครียดทางการค้าโดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯ และจีน การเข้าซื้อทองของธนาคารกลางอย่างต่อเนื่อง และแนวโน้มการลดดอกเบี้ยโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในอนาคตอันใกล้ ความต้องการทองคำในปี 2025 เพิ่มขึ้นถึง 26% แล้วในช่วงต้นปี และมีแนวโน้มว่าจะไปถึงเป้าหมายใหม่ที่ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์
นักวิเคราะห์อิสระ ระบุว่า "ราคาทองวันนี้เป็นเหมือนสัญญาณเตือนโลกถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังทวีความรุนแรง" และยังชี้ว่า "ธนาคารกลางหลายแห่งอาจกำลังซื้อทองคำอย่างเงียบๆ มาตั้งแต่ปีก่อน และการซื้อในช่วงราคาพุ่งสูงเช่นนี้คือการตอกย้ำความเชื่อมั่นในบทบาทของทองคำ"
กระแสความต้องการทองคำไม่ได้มาจากนักลงทุนรายย่อยเท่านั้น แต่ธนาคารกลางของหลายประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และ BRICS กลับเป็นผู้เล่นหลักที่เข้าซื้อทองคำในปริมาณมหาศาล
ข้อมูลจาก World Gold Council เผยว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ธนาคารกลางทั่วโลกเพิ่มทองคำสุทธิ 24 ตัน โดยโปแลนด์เป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุด (29 ตัน) ตามด้วยจีน (5 ตัน) และตุรกี (3 ตัน)
โปแลนด์ยังคงเดินหน้าสะสมทองคำโดยมีเป้าหมายถือครองทองให้ได้ 20% ของทุนสำรองทั้งหมด ขณะที่จีนยังเดินหน้าซื้อทองอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนมีนาคมเพิ่มทองคำเข้าสู่คลังเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน ทำให้การถือครองทองคำของจีนอยู่ที่ 2,285 ตัน หรือราว 6% ของทุนสำรองทั้งหมด และมีแนวโน้มว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่านั้นอีกมาก
ไม่เพียงเท่านั้น รายงานวิเคราะห์โดย Jan Nieuwenhuijs ระบุว่า จีนอาจมีทองคำเก็บไว้ในคลังลับในปักกิ่งมากกว่า 5,000 ตัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าสองเท่าจากที่ประกาศอย่างเป็นทางการ
ในขณะที่ตุรกีก็กลับมาซื้อทองอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากหยุดพักในเดือนมกราคม และปัจจุบันถือทองคำอยู่ที่ 623 ตัน หรือ 38% ของทุนสำรองทั้งหมด
ปรากฏการณ์ De-Dollarization หรือกระแสลดการพึ่งพาดอลลาร์ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทองคำกลับมาเป็นตัวเอกของสินทรัพย์ทั่วโลกอีกครั้ง ความไม่เชื่อมั่นในเสถียรภาพของเงินดอลลาร์ที่ไม่ได้มีทองคำหนุนหลังอีกต่อไปตั้งแต่ปี 1971 และการพิมพ์เงินอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลให้ประเทศต่างๆ เริ่มหันมาใช้ทองคำเป็นหลักประกันความมั่นคงทางการเงินแทน
รายงานระบุว่า หนี้รัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นกว่า 7,300% ตั้งแต่ปี 1970 และขณะนี้กำลังใกล้จุดแตกหัก โดยหนี้ครัวเรือนก็แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจนี้เองที่ทำให้นักลงทุนรายใหญ่เลือก "ทองคำ" แทนการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
ขณะที่นักลงทุนบางส่วนอาจขายทำกำไรเมื่อราคาทองขึ้นสูง แต่อีกจำนวนมากก็ยังคงทยอยซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผ่านกองทุน ETF ทองคำ ซึ่งในไตรมาสแรกของปี 2025 มีเงินไหลเข้า 226.5 ตัน คิดเป็นมูลค่า 21.1 พันล้านดอลลาร์ ถือเป็นการไหลเข้าครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2022
นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี ก็ยิ่งทำให้ทองคำกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับนักลงทุนที่ถือครองเงินสกุลอื่น
ข้อมูลจาก World Gold Council ชี้ว่าในปี 2024 ธนาคารกลางทั่วโลกได้เพิ่มทองคำรวมสุทธิถึง 1,044.6 ตัน ซึ่งถือเป็นปีที่สามติดต่อกันที่การซื้อทองของธนาคารกลางทะลุหลัก 1,000 ตัน และเป็นการเพิ่มสูงสุดอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์รองจากปี 2022 และ 2023
สำรวจประเทศที่ถือทองคำสำรองมากที่สุด พบว่าสหรัฐฯ ยังเป็นอันดับ 1 ด้วยทองคำกว่า 8,133 ตัน ตามด้วยเยอรมนี (3,351 ตัน) อิตาลี (2,451 ตัน) และฝรั่งเศส (2,437 ตัน) ซึ่งหลายประเทศยังเก็บทองไว้ในต่างประเทศ เช่น ที่ธนาคารกลางนิวยอร์ก ลอนดอน หรือสวิตเซอร์แลนด์
สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ราคาทองจะสูงเป็นประวัติการณ์ แต่ความต้องการจากภาครัฐโดยเฉพาะธนาคารกลางกลับไม่ลดลง กลับกันหลายประเทศกลับเร่งสะสมเพื่อเสริมความมั่นคงทางการเงินและลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์
อ้างอิง: reuters, sbcgold, moneymetals, investingnews