การสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กับประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังสร้างความตึงเครียดระหว่างประเทศต่างๆ ที่ถูกกระทบจากนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" ของทรัมป์ อย่างไรก็ตาม ในขณะที่บางประเทศอาจยอมจำนนต่อการตั้งภาษีหรือมาตรการกดดันจากสหรัฐฯ แต่ก็มีบางประเทศที่ไม่ยอมให้กระแสการค้าภายใต้ทรัมป์มาครอบงำ หนึ่งในนั้นคือ จีน และ แคนาดา ที่มีจุดแข็งที่สำคัญ ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถยืนหยัดและตอบโต้ได้อย่างมั่นใจ
สหรัฐฯ และจีนกำลังเผชิญความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากที่จีนตอบโต้การตั้งภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประกาศชัดเจนว่า "พร้อมสู้จนถึงที่สุด" ไม่ว่าจะเป็นสงครามภาษีหรือการค้าก็ตาม โดยสถานทูตจีนโพสต์ข้อความอย่างแข็งกร้าวผ่าน X พร้อมย้ำว่าจะปกป้องผลประโยชน์ของตนเองอย่างถึงที่สุด สะท้อนความไม่พอใจต่อท่าทีของสหรัฐฯ ที่จีนมองว่าใช้ข้ออ้างทางเศรษฐกิจและการเมืองเพื่อกดดันปักกิ่งอย่างไม่เป็นธรรม
ขณะเดียวกัน จีนพยายามส่งสัญญาณถึงประชาชนในประเทศว่าเศรษฐกิจยังคงเดินหน้าได้ แม้เผชิญภัยคุกคามจากสงครามการค้า โดยประกาศเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศอีก 7.2% ท่ามกลางบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมตำหนิสหรัฐฯ ว่าใช้ปัญหายาเสพติดฟินทานิลเป็นข้ออ้างในการตั้งภาษีสินค้าจีน ซึ่งไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสมในการเจรจาระหว่างประเทศมหาอำนาจ นักวิเคราะห์ยังเชื่อว่าจีนอาจเปิดเผยข้อมูลด้านกลาโหมอย่างจำกัด แม้จะมีงบประมาณมากเป็นอันดับสองของโลก เพื่อรักษาความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในระยะยาว
ประเทศจีนถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของโลกในปัจจุบัน ด้วยการที่จีนพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วและมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในด้านนวัตกรรม ทำให้จีนกลายเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีจึงถือเป็น อาวุธสำคัญ ที่ช่วยให้จีนสามารถตอบโต้ทรัมป์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Huawei ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี 5G ของจีน ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างหนักจากรัฐบาลจีน แต่ถูกสหรัฐฯ ตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติและถูกแบนจากการขายอุปกรณ์ในตลาดสหรัฐฯ รวมถึงการห้ามไม่ให้ใช้เทคโนโลยีจากบริษัทอเมริกันในการพัฒนาอุปกรณ์ 5G ของ Huawei แต่จีนก็ไม่ยอมจำนนต่อแรงกดดันนี้และได้เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางเทคโนโลยีที่สามารถแข่งขันกับสหรัฐฯ ได้ เช่น การพัฒนาระบบปฏิบัติการ HarmonyOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อลดการพึ่งพา Android ของ Google และทำให้จีนสามารถควบคุมอุปกรณ์ของตัวเองได้
นอกจากนี้ จีนยังลงทุนในการพัฒนา เซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยมีการก่อตั้งบริษัทผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์ขึ้นมาเพื่อทดแทนการนำเข้าจากสหรัฐฯ ทำให้จีนไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึง ความพยายามในการพึ่งพาตัวเอง และลดการถูกควบคุมจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ
การพัฒนาของจีนในด้านเทคโนโลยี ไม่เพียงแต่ช่วยให้จีนสามารถทนทานต่อแรงกดดันจากสหรัฐฯ แต่ยังทำให้จีนกลายเป็นผู้นำในหลายๆ ด้าน เช่น เทคโนโลยี 5G, ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการวิจัยด้านเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งส่งผลให้จีนยังคงสามารถแข่งขันและยืนหยัดในสนามเศรษฐกิจโลกได้อย่างมั่นคง แม้ว่าจะมีการตั้งภาษีและมาตรการตอบโต้จากสหรัฐฯ ก็ตาม
ในขณะที่จีนใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการตอบโต้สงครามการค้ากับสหรัฐฯ แคนาดาก็มีจุดแข็งที่สำคัญในด้าน การค้าชายแดนกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้แคนาดาสามารถยืนหยัดและตอบโต้การตั้งภาษีตอบโต้จากทรัมป์ได้อย่างมั่นคง
รัฐบาลแคนาดาระบุว่า สหรัฐฯ ประกาศการเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรมและไม่สมเหตุสมผล ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงระบบการค้าระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยภาษีใหม่จะมีผลต่อสินค้าหลายประเภท รวมถึงรถยนต์ที่นำเข้าจากแคนาดา และภาษีที่ประกาศก่อนหน้านี้เกี่ยวกับเหล็กและอลูมิเนียมก็ยังคงมีผลอยู่ ผลกระทบจากภาษีเหล่านี้จะส่งผลต่อแรงงานและธุรกิจในสหรัฐฯ แต่แคนาดาก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน รัฐบาลแคนาดาจึงยืนยันว่าจะต่อสู้กับภาษีเหล่านี้ ปกป้องแรงงาน และสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม G7
นายกรัฐมนตรีแคนาดา มาร์ค คาร์นีย์ ประกาศมาตรการตอบโต้ใหม่เพื่อปกป้องแรงงานและธุรกิจของแคนาดา รวมถึงการเก็บภาษี 25% สำหรับรถยนต์ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนด CUSMA และการพัฒนาโครงสร้างเพื่อกระตุ้นการผลิตและการลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ในแคนาดา นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ให้การสนับสนุนเพิ่มเติมแก่แรงงานและธุรกิจ รวมถึงการระงับระยะเวลารอคอยการประกันการว่างงาน (EI) และการยืดหยุ่นในการเข้าถึง EI เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบ
ในขณะที่แคนาดาได้ตอบโต้การเก็บภาษีของสหรัฐฯ โดยการกำหนดภาษี 25% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 30 พันล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งการเก็บภาษีในรายการเหล็กและอลูมิเนียมรวมมูลค่า 29.8 พันล้านดอลลาร์ เพื่อให้การตอบโต้เทียบเท่ากับการเก็บภาษีของสหรัฐฯ
นายกรัฐมนตรีแคนาดากล่าวว่า "เศรษฐกิจโลกแตกต่างไปจากเมื่อวานนี้ เราจะตอบสนองด้วยความตั้งใจและแรงกล้า เพื่อปกป้องแรงงานและธุรกิจของแคนาดาจากภาษีที่ไม่เป็นธรรมที่สหรัฐฯ กำหนด"
แคนาดาและสหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์ทางการค้าที่ครอบคลุมและมีพลศาสตร์ที่สุดในโลก ซึ่งสนับสนุนงานหลายล้านตำแหน่งในทั้งสองประเทศ มูลค่าสินค้าและบริการที่ข้ามพรมแดนทุกวันอยู่ที่ 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจทั้งสองประเทศ การค้าระหว่างสองประเทศนี้ครอบคลุมสินค้าหลายประเภท เช่น น้ำมัน, ไม้, แร่หายาก, และ อลูมิเนียม ซึ่งสหรัฐฯ ยังคงพึ่งพาแคนาดาในการจัดหาสินค้าเหล่านี้ โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาน้ำมันโลกสูงขึ้น ความสำคัญของการค้าชายแดนนี้ทำให้แคนาดามี อำนาจต่อรอง ในการเจรจาเกี่ยวกับภาษีและมาตรการการค้า
ทั้ง จีน และ แคนาดา ต่างก็มีจุดแข็งที่สำคัญซึ่งช่วยให้สามารถต่อกรกับภาษีตอบโต้ที่ทรัมป์ตั้งขึ้นได้อย่างมั่นใจ จีน ใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าของตนในการลดการพึ่งพาต่างประเทศและยืดหยุ่นในสงครามการค้าครั้งนี้ ขณะที่ แคนาดา ใช้ความสัมพันธ์ทางการค้าและการค้าชายแดนที่มีมูลค่าใหญ่เพื่อเป็นอำนาจต่อรองในการปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองจากการกดดันของสหรัฐฯ โดยทั้งสองประเทศนี้ต่างก็แสดงให้เห็นว่า การตอบโต้ในสงครามการค้าครั้งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ขนาดเศรษฐกิจ แต่ยังเกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ในการใช้จุดแข็งและความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
อ้างอิง: Prime Minister of Canada, Businessinsider, TD