นักเศรษฐศาสตร์เตือนโลกพร้อมรับมือ “ยุคเงินเฟ้อสูง” หลังวิกฤต FRB

03 พ.ค. 2566 | 12:20 น.

นักเศรษฐศาสตร์คาดโลกกำลังเข้าสู่ยุคเงินเฟ้อสูง หลังวิกฤตเฟิร์สท์ รีพับลิก แบงก์ ขณะเดียวกัน ภาคการธนาคารของสหรัฐที่อ่อนแอ ก็อาจส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถของธนาคารกลาง (เฟด) ในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ

สำนักข่าวซีเอ็นบีซี สื่อใหญ่ของสหรัฐรายงานว่า หลังจาก ธนาคารเจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เข้าช่วยเหลือ ธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิก แบงก์ (FRB) เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำคาดการณ์ว่า อัตราดอกเบี้ย ที่สูงขึ้นเป็นเวลานาน จะยิ่งทำให้ ภาคการธนาคารของสหรัฐ อ่อนแอ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถของธนาคารกลางในการควบคุม อัตราเงินเฟ้อ

รายงานระบุว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะประกาศการตัดสินใจนโยบายการเงินครั้งล่าสุดในวันนี้ (3 พ.ค.) ตามด้วยธนาคารกลางยุโรปในวันพฤหัสบดี (4 พ.ค.)

ทั้งนี้ ธนาคารกลางทั่วโลกได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกมานานกว่า 1 ปีเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่สูงเสียดฟ้า แต่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าแรงกดดันด้านราคาดูท่าจะคงอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกนาน

ผลสำรวจความคิดเห็นหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำทั่วโลก (Chief Economists Outlook) จากการประชุมเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรั่ม (WEF) ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (1 พ.ค.) เน้นย้ำว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงเป็นความกังวลหลัก โดยเกือบ 80% ของหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่ทำการสำรวจระบุว่า ธนาคารกลางจะเผชิญกับภาวะได้อย่างเสียอย่าง (Trade-off) ระหว่างการจัดการอัตราเงินเฟ้อกับการรักษาเสถียรภาพของภาคการเงิน ขณะที่บางส่วนคาดว่าธนาคารกลางจะประสบปัญหาในการบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อ

ซาเดีย ซาฮิดิ กรรมการผู้จัดการ เวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรั่ม (WEF) กล่าวว่า "นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำหลายคนคาดว่าธนาคารกลางจะต้องหาสมดุลอย่างรอบคอบระหว่างความต้องการในการปรับลดอัตราเงินเฟ้อกับความกังวลด้านเสถียรภาพทางการเงินที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา"   

เธอเสริมว่า เพราะเหตุนี้ ภาวะได้อย่างเสียอย่างดังกล่าวจะกลายเป็นเรื่องที่ยากขึ้น โดยนักเศรษฐศาสตร์ประมาณ 3 ใน 4 จากผลการสำรวจคาดว่า อัตราเงินเฟ้อจะยังคงสูง หรือธนาคารกลางไม่สามารถดำเนินการได้เร็วพอที่จะลดเงินเฟ้อสู่ระดับเป้าหมาย                

ด้านคาเรน แฮร์ริส กรรมการผู้จัดการฝ่ายแนวโน้มมหภาคของเบน แอนด์ คัมพานี ระบุว่า "ผู้คนยังไม่ได้ปรับตัวเข้าสู่ยุคใหม่นี้ ซึ่งเป็นยุคที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นในเชิงโครงสร้าง และเป็นโลกหลังยุคโลกาภิวัตน์ที่เราจะไม่มีการค้าขนาดเท่าเดิม จะมีการกีดกันทางการค้ามากขึ้น และกลุ่มประชากรที่มีอายุมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าผู้เกษียณอายุที่ออมเงินก็จะไม่ออมเงินแบบเดิม"

แฮร์ริสเสริมว่า "และเรามีแรงงานลดลง ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการลงทุนด้านระบบอัตโนมัติในหลาย ๆ ตลาด ดังนั้น การสร้างทุนจึงน้อยลง การเคลื่อนย้ายเงินทุนและสินค้าอย่างเสรีก็น้อยลงตาม ความต้องการเงินทุนกลับมากขึ้น นั่นหมายถึงอัตราเงินเฟ้อ แรงกระตุ้นของอัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้น"

ข้อมูลอ้างอิง

After First Republic’s rescue, economists predict further pain with a ‘new era’ of higher inflation