สื่อนอกเกาะติดคดีแอมไซยาไนด์ เผยเป็นฆาตกรต่อเนื่องโหดสุดคดีหนึ่ง

30 เม.ย. 2566 | 08:16 น.

สื่อต่างประเทศเกาะติดรายงานข่าวคดี “แอม ไซยาไนด์” ซึ่งเป็นคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญและเป็น “ฆาตกรต่อเนื่อง” คดีหนึ่งของไทยที่ผู้ก่อเหตุเป็นหญิง

 

สื่อต่างประเทศเกาะติดข่าวสะเทือนขวัญของไทยที่ถูกเรียกว่าคดี “แอม ไซยาไนด์” จากกรณีที่นางสรารัตน์ หรือ "แอม" รังสิวุฒาภรณ์ ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีการเสียชีวิตของ "ก้อย" ศิริพร ขันวงษ์​ ที่จังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ 14 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งต่อมามีการขยายผลพบว่า มีเหยื่อที่เสียชีวิตด้วยสารพิษลักษณะเดียวกันนี้อีกอย่างน้อยถึง 12 คน ที่อาจมีความเชื่อมโยงกับผู้ต้องหาคนนี้ กระทั่งทำให้สังคมมองว่านี่เป็น คดีฆาตกรรมต่อเนื่อง

สื่อใหญ่ รอยเตอร์ รายงานว่า "แอม สรารัตน์" วัย 36 ปี ถูกตั้งข้อหาฆ่าผู้อื่น “โดยไตร่ตรองไว้ก่อน” ขณะที่ตำรวจได้เร่งสืบสวนกรณีอื่น ๆ ที่มีผู้เสียชีวิตจากสารพิษไซยาไนด์ ที่คาดว่าจะมีความเกี่ยวข้องกัน โดย พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม คาดว่า แอม สรารัตน์ ได้ไซยาไนด์มาจากร้านขายยาของพี่สาว

ขณะเดียวกัน ซีเอ็นเอ็น รายงานโดยอ้างข้อมูลจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ “บิ๊กโจ๊ก” รองผู้บังคับบัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ว่าก่อนเสียชีวิต กล้องวงจรปิดได้บันทึกภาพ ก้อย ศิริพร ผู้เสียชีวิต ในวันที่เธอไปปล่อยปลากับผู้ต้องสงสัยที่ จ.ราชบุรี ก่อนที่ก้อยจะเป็นลมล้มลงและเสียชีวิต ซึ่งผลชันสูตรศพพบร่องรอยของ “ไซยาไนด์” ในร่างกาย

สรารัตน์ "แอม" รังสิวุฒาภรณ์ หรือ "แอม ไซยาไนด์" (ขอบคุณภาพจากเนชั่นทีวี)

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ผู้หญิงที่ไม่เปิดเผยชื่อได้ให้การกับตำรวจว่า เธอเป็นเหยื่อคนหนึ่งของแอม สรารัตน์ โดยกล่าวว่า เธอถูกวางยาพิษในปี 2553 แต่แพทย์ที่โรงพยาบาลสามารถช่วยชีวิตเธอไว้ได้ทัน ซึ่งแพทย์ก็ได้พบไซยาไนด์ในร่างกายของเธอ

รอง ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ผู้หญิงคนดังกล่าวไม่กล้าที่จะฟ้องหรือดำเนินคดีกับแอมในขณะนั้นเมื่อเกิดเหตุขึ้นกับตัวเธอเอง ด้วยความเกรงกลัวว่าแอมเป็นภรรยาของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ แต่การที่เธอตัดสินใจออกมาให้ข้อมูลในครั้งนี้ ก็หลังจากได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของคนอื่น ๆ ซึ่งตำรวจเชื่อว่าเหยื่อรายอื่นได้ดื่มหรือรับประทานอาหารกับแอม ก่อนที่พวกเขาจะเสียชีวิต

ทั้งนี้ ในส่วนของแรงจูงใจการก่อเหตุ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สงสัยว่า แรงจูงใจอาจจะเป็นเรื่องการเงิน โดยเฉพาะปัญหาหนี้สิน เพราะผู้ต้องสงสัยได้ยืมเงินมาจากหลายคน

ด้านสื่อออสเตรเลีย News.com.au รายงานในแง่มุมของฆาตกรรมต่อเนื่อง โดยระบุว่า มีเหยื่อคนอื่นเสียชีวิตในลักษณะเดียวกันกับก้อย โดยย้อนไปตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา แต่ไม่ได้เปิดเผยรายชื่อของเหยื่อเหล่านั้น และกำลังขยายการสอบสวนกรณีของเหยื่อทั้ง 13 รายใน 5 จังหวัดของไทย ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ทางภาคตะวันตกของประเทศ

ตำรวจยังกล่าวหา แอม สรารัตน์ ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ 4 เดือนว่า แอมรู้จักเหยื่อทั้งหมดและได้ลงมือฆ่า ซึ่งเธอปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดเช่นกัน

สื่อของออสเตรเลียฉบับนี้ยังรายงานด้วยว่า ปริมาณไซยาไนด์ที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตสามารถตรวจพบในศพได้ถึงแม้จะเสียชีวิตไปหลายเดือนแล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีการฌาปณกิจศพของเหยื่อรายอื่น ๆ ทำให้กระบวนการรวบรวมหลักฐานมีความยุ่งยากมากขึ้น

News.com.au รายงานว่าไซยาไนด์มีฤทธิ์ทำให้เซลล์ในร่างกายขาดออกซิเจน ซึ่งอาจนำไปสู่อาการหัวใจวาย เมื่อไซยาไนด์ออกฤทธิ์ จะมีอาการวิงเวียนศีรษะ หายใจไม่ออก และอาเจียน

สื่อออสเตรเลียระบุว่า การใช้ไซยาไนด์นั้นมีการควบคุมอย่างเคร่งครัดในประเทศไทย ผู้ที่มียาพิษนี้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจต้องติดคุกนานถึง 2 ปี

สื่อใหญ่จากอังกฤษ “อินดิเพนเดนท์” (Independent) นี่เป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ถือว่ามีความร้ายแรงที่สุดคดีหนึ่งของไทย แต่ก่อนหน้านี้ก็เคยมีคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ถือว่าร้ายแรงมากมาก่อนแล้ว นั่นคือคดีที่ “ชาร์ลส์ โสภราช” ชาวฝรั่งเศส ถูกตั้งข้อหาว่าเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมเหยื่อ 20 รายในไทย โดยเหยื่อของเขาถูกมอมยา ทุบตี ปล้นทรัพย์ และในบางกรณีถูกนำเอาไปเผา

โสภราช ซึ่งได้รับฉายาว่า "ฆาตกรบิกินี" ได้รับการปล่อยตัวเมื่อเดือนธันวาคม 2565 หลังจากที่ถูกจำคุกในเนปาล ในข้อหาฆ่านักท่องเที่ยวแบบแบ็คแพ็ค 2 คน

เรื่องราวของโสภราชถูกนำไปทำเป็นซีรีย์สารคดีในเน็ตฟลิกซ์ เรื่อง The Serpent หรือ "อสรพิษ" เกี่ยวกับการก่ออาชญากรรมของเขา

 

ที่มา: VOA / Reuter / CNN / Independent / news.com.au