IMF หั่นคาดการณ์ GDP โลกเหลือ 2.7% ท่ามกลางเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า

11 ต.ค. 2565 | 22:28 น.

IMF ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีหน้า (2566) เหลือเพียง 2.7% จากเดิมที่ระดับ 2.9% ในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ฉบับล่าสุด พร้อมเตือน"ภาวะเลวร้ายที่สุดรออยู่ข้างหน้า"

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผย รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) วานนี้ (11 ต.ค.) โดยได้คงตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ (2565) ไว้ที่ระดับ 3.2% แต่ปรับลดตัวเลขคาดการณ์สำหรับปี 2566 เหลือเพียง 2.7% จากเดิมคาดไว้ที่ระดับ 2.9%

 

"ภาวะเลวร้ายที่สุดกำลังรออยู่ข้างหน้า และประชาชนจำนวนมากจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า" รายงานระบุ

 

รายงานดังกล่าวเป็นการบ่งชี้ การขยายตัวที่อ่อนแอที่สุดของเศรษฐกิจโลกนับตั้งแต่ปี 2544 หรือในรอบ 21 ปี นอกเหนือจากช่วงที่เกิดวิกฤตการเงิน และการแพร่ระบาดอย่างหนักของโควิด-19

 

IMF คาดการณ์การขยายตัวที่ "อ่อนแอที่สุด" ของเศรษฐกิจโลกในปีหน้า (2566)

 

นอกจากนี้ แม้ IMF จะคงตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ (2565) ไว้ที่ระดับ 3.2% แต่นั่นก็เป็นการชะลอตัวลงอย่างมากเมื่อเทียบกับปี 2564 ที่จีดีพีโลกมีการขยายตัวที่ระดับ 6% 

 

รายงานระบุว่า เศรษฐกิจโลกมากกว่า 1 ใน 3 จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจหดตัวในปีนี้หรือปีหน้า ขณะที่การขยายตัวของสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และจีนจะชะลอตัวลง

 

IMF ระบุว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ได้แก่

  • การที่รัสเซียส่งกำลังทหารโจมตียูเครน
  • วิกฤตค่าครองชีพ
  • และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน

ซึ่งจะทำให้เกิดความผันผวนทางเศรษฐกิจ ภูมิรัฐศาสตร์ และนิเวศวิทยา

 

ขณะเดียวกัน IMF ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของ เศรษฐกิจสหรัฐ ในปีนี้และปีหน้า สู่ระดับ 1.6% และ 1% ตามลำดับ โดยเป็นผลจากการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) นั่นเอง

 

IMF ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของ เศรษฐกิจจีน ในปีนี้และปีหน้า สู่ระดับ 3.2% และ 4.4% ตามลำดับ โดยเป็นผลกระทบจากการใช้มาตรการคุมเข้มการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเข้มงวดของรัฐบาลจีน และวิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนเอง

 

นอกจากนี้ IMF คาดการณ์ว่า ภาวะเงินเฟ้อทั่วโลกจะแตะจุดสูงสุดในช่วงปลายปีนี้ โดยแตะระดับ 8.8% จากระดับ 4.7% ในปี 2564 ก่อนที่จะชะลอตัวลงสู่ระดับ 6.5% ในปี 2566 และ 4.1% ในปี 2567