สรุปผลการเยือนซาอุดีอาระเบียครั้งแรกของปธน.โจ ไบเดน "คว้าน้ำเหลว"

17 ก.ค. 2565 | 23:25 น.

การเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียครั้งแรกของปธน.โจ ไบเดนสิ้นสุดลงแล้ว โดยแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ทั้งในเรื่องความหวังที่จะบรรลุข้อตกลงกับซาอุฯ เกี่ยวกับการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อ และการฟื้นความสัมพันธ์ที่ยังดูอึมครึม

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การเยือนซาอุดีอาระเบียของโจ ไบเดน และความพยายามฟื้นความสัมพันธ์กับริยาดระหว่างพบกันครั้งแรกกับ มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซาลมาน ประสบผลสำเร็จน้อยมาก ริยาดไม่ตกปากรับคำ เพิ่มกำลังผลิตน้ำมัน ตามที่วอชิงตันตั้งความหวังเอาไว้  ซ้ำยังยืนกรานว่าจะต้องดำเนินการภายในกรอบของเอเปกพลัส ซึ่งมีรัสเซียเป็นสมาชิกอยู่ด้วย

 

ปธน.ไบเดนเดินทางเยือน ซาอุดีอาระเบีย โดยหวังจะบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการผลิตน้ำมันเพื่อช่วยลดราคาน้ำมันเบนซินที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสหรัฐปรับสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี แต่เขาไม่สามารถบรรลุข้อตกลงดังกล่าวได้

 

ไบเดนเข้าพบมกุฎราชกุมารแห่งซาอุฯ เป็นครั้งแรก หลังปฏิเสธพูดคุยกับเจ้าชายมาเป็นเวลานานจากกรณีฉาว "คาช็อกกี"

การเยือนซาอุดีอาระเบีย ถือเป็นส่วนหนึ่งของทริปการเยือนตะวันออกกลางครั้งแรกของโจ ไบเดน นับตั้งแต่ที่เขาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อต้นปี 2564  การเดินทาง 4 วันครั้งนี้ครอบคลุมการเยือนอิสราเอลและซาอุดีอาระเบีย เป้าหมายสำคัญคือ การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับซาอุฯ แสดงความมุ่งมั่นที่สหรัฐมีต่อภูมิภาคตะวันออกกลาง และแสวงหาความร่วมมือในการรับมือการขยายอิทธิพลของอิหร่าน รัสเซีย และจีน

แต่สิ่งที่เป็นปัญหาครอบคลุมบรรยากาศการเยือนซาอุฯ ของปธน.ไบเดนก็คือ เขาพยายามหลีกเลี่ยงการกระทำที่ดูเหมือนเป็น “การยอมรับ” เจ้าชายโมฮัมเหม็ดฯ มกุฎราชกุมารของซาอุดีอาระเบีย ผู้ที่ข่าวกรองสหรัฐ บ่งชี้ว่า เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังการสังหารโหดนายจามาล คาช็อกกี ผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ สื่อใหญ่ของสหรัฐ แม้ว่ารัฐบาลซาอุฯ จะปฏิเสธข้อกล่าวหานี้มาตลอด

 

สื่อระบุว่า ปธน.ไบเดนได้หยิบยกเรื่องคดีสังหารนายคาช็อกกี มาหารือกับฝ่ายซาอุฯในการเยือนครั้งนี้ด้วย แต่รัชทายาทซาอุฯ ไม่ยอมรับ ซ้ำตอกกลับว่า วอชิงตันเองก็ทำผิดพลาดเช่นเดียวกัน แหล่งข่าวระบุว่า ปธน.ไบเดน และเจ้าชายมุฮัมหมัด บิน ซัลมาน ยังมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างค่อนข้างห่างเหิน โดยทั้งสองไม่ตบหลังหรือยิ้มให้แก่กันดังเช่นที่มักปฏิบัติเวลาพบปะผู้นำคนอื่น ๆ



ก่อนหน้านี้ ผู้นำสหรัฐปฏิเสธไม่พูดคุยกับองค์มกุฎราชกุมารแห่งซาอุฯ มาเป็นเวลานานแล้ว โดยเขาได้วิจารณ์ซาอุดีอาระเบียอย่างหนักเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะกรณีการสังหารนายคาช็อกกี ผู้สื่อข่าวชาวซาอุที่ประจำอยู่ในสหรัฐ

 

เรามาดูกันว่า ในการเยือนตะวันออกกลางครั้งแรกนี้ ปธน.ไบเดนได้อะไรติดมือกลับมาบ้าง

 

ซาอุฯ รับปากเพิ่มกำลังผลิตน้ำมันได้อย่างจำกัด

ในระหว่างการประชุมสุดยอดกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ และบรรดาผู้นำกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ (GCC) ซึ่งประกอบด้วย บาห์เรน คูเวต โอมาน กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) รวมทั้งผู้นำจากอียิปต์ อิรัก และจอร์แดน โดยการประชุมสุดยอดดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ (16 ก.ค.) ที่เมืองเจดดาห์  มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ทรงกล่าวยืนยันว่า ซาอุดีอาระเบียจะเพิ่มการผลิตน้ำมันสูงสุดที่ 13 ล้านบาร์เรล/วัน เท่านั้น และไม่สามารถเพิ่มการผลิตมากไปกว่านี้

ปธน.โจ ไบเดน ร่วมประชุมกับบรรดาผู้นำกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ (GCC) เมื่อวันเสาร์ (16 ก.ค.)

ทั้งนี้ ทรงให้เหตุผลว่า นโยบายด้านพลังงานที่ไม่สมจริงจะนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ยังระบุว่า ซาอุดีอาระเบียต้องดำเนินการภายในกรอบของเอเปกพลัส ซึ่งมีรัสเซียร่วมอยู่ด้วย

 

นักวิเคราะห์มองว่า ความสำเร็จในการบรรลุข้อตกลงเรื่องการผลิตน้ำมันกับซาอุฯ เป็นความหวังของปธน.ไบเดน เนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินที่พุ่งพรวด ได้ดันอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐให้พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ และขณะเดียวกันก็ได้ฉุดคะแนนนิยมของไบเดนให้ดำดิ่งลงมาขณะที่การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐในเดือนพฤศจิกายนก็กำลังใกล้เข้ามา

 

แม้จะเห็นได้ว่า ไบเดนไม่สามารถบรรลุในสิ่งที่คาดหวัง แต่เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวส่วนหนึ่งก็เชื่อมั่นว่า ความพยายามทางการทูตของวอชิงตันจะช่วยกำหนดทิศทางการเจรจาในการประชุมโอเปกพลัสครั้งหน้าที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 3 ส.ค.นี้ แต่ในความเป็นจริงจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเพราะนักวิเคราะห์บางส่วน รวมทั้งนายเบน คาฮิลล์ นักวิเคราะห์ด้านพลังงานของศูนย์เพื่อการศึกษาทางกลยุทธ์และการระหว่างประเทศ ในสหรัฐ แย้งว่า สมาชิกโอเปกพลัสอาจจะไม่เห็นเหตุผลว่าตลาดต้องการน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นในเวลานี้

 

ย้ำสหรัฐจะยังเป็น “พันธมิตร” ที่มีส่วนร่วมสำคัญในตะวันออกกลาง

ปธน.ไบเดน เข้าร่วมการประชุมสุดยอดดังกล่าวเมื่อวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในการเยือนภูมิภาคตะวันออกกลางครั้งนี้ เขาตอกย้ำกับบรรดาผู้นำประเทศตะวันออกกลางว่า สหรัฐจะยังคงเป็นพันธมิตรที่มีส่วนร่วมสำคัญในภูมิภาคตะวันออกกลาง

 

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ปธน.ไบเดนกำลังหาทาง “เริ่มต้นใหม่” สำหรับการมีส่วนร่วมของสหรัฐในภูมิภาคดังกล่าว โดยหวังว่าจะก้าวผ่านความขัดแย้งด้านการทหารของสหรัฐและผลักดันภูมิภาคที่เคารพกิจการภายในประเทศของแต่ละประเทศแทน นอกจากนี้ ยังแสวงหาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการป้องกันร่วมกันท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอิหร่าน

 

นักวิเคราะห์กล่าวว่า มีสัญญาณความสัมพันธ์ที่อบอุ่นขึ้นเล็กน้อยระหว่างซาอุดีอาระเบียกับอิสราเอล ซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐและเป็นอีกประเทศที่ปธน.ไบเดน เดินทางเยือนในทริปนี้  สัญญาณที่ดีขึ้นดังกล่าวสะท้อนจากการที่ซาอุฯ ประกาศจะเปิดน่านฟ้ารับสายการบินทุกแห่ง ซึ่งนักวิเคราะห์ตีความว่า เท่ากับเป็นการปูทางในการเพิ่มเที่ยวบินระหว่างซาอุฯและอิสราเอล

 

นอกจากนี้ สหรัฐยังเป็นตัวกลางผลักดันข้อตกลงระหว่างอิสราเอล อียิปต์ และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งภายใต้ข้อตกลงนี้ กองกำลังรักษาสันติภาพขนาดเล็กที่นำโดยสหรัฐอเมริกาจะถอนกำลังออกจากเกาะติรานที่อียิปต์ยกอำนาจการควบคุมให้ซาอุฯ เมื่อปี 2017

 

ทั้งสหรัฐและอิสราเอลหวังว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวและการประชุมสุดยอด จะช่วยปูทางให้อิสราเอลได้มีส่วนร่วมในภูมิภาคนี้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้อาจต้องใช้เวลาอีกยาวนาน โดยรัฐมนตรีต่างประเทศซาอุฯ ได้ออกมายืนยันแล้วว่า ยังไม่มีแผนปรับความสัมพันธ์สู่ระดับปกติกับอิสราเอล อีกทั้งริยาดก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเจรจาแผนพันธมิตรด้านกลาโหมระหว่างอ่าวเปอร์เซียกับอิสราเอลเพื่อต่อต้านอิหร่าน

 

สำหรับความคืบหน้าล่าสุดกรณีอิหร่านนั้น เมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา สหรัฐและอิสราเอล ได้ลงนามคำประกาศร่วมต่อต้านการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามของปธน.ไบเดน ที่ต้องการระดมความสนับสนุนในตะวันออกกลางเพื่อพลิกฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 กับอิหร่าน หลังจากที่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ฉีกทิ้งข้อตกลงดังกล่าวเมื่อหลายปีก่อน

 

ปธน.ไบเดนขอให้ผู้นำประเทศตะวันออกกลางมั่นใจว่า สหรัฐพร้อมใช้กำลังเป็นทางเลือกสุดท้ายหากการเจรจาล้มเหลว เขากล่าวว่า อิหร่านยังคงเดินหน้าโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์แม้รัฐบาลเตหะรานจะปฏิเสธเรื่องนี้มาโดยตลอดก็ตาม

 

ถึงอย่างไรทริปนี้ไม่ถือว่า “สูญเปล่า” เสียทีเดียว

สื่อระบุว่า  เรื่องดี ๆ ยังคงมีอยู่บ้างจากทริปนี้ นั่นคือภาพการพบกันครั้งแรกระหว่างปธน.ไบเดนกับเจ้าชายรัชทายาทของซาอุฯ หน้าพระราชวัง ในเจดดาห์ จะถูกใช้เป็นภาพสัญลักษณ์ของทริปนี้ ที่มีการใช้เวลาวางแผนเตรียมการเนิ่นนานนับเดือน ว่าสุดท้ายแล้ว สหรัฐก็ตัดสินใจว่า การรักษาความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับซาอุฯ ที่ผ่านมรสุมมา 80 ปีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผลประโยชน์ของสหรัฐและจะช่วยให้ทั้งสองชาติก้าวไปข้างหน้า แม้ว่าการเยือนริยาดครั้งนี้ อาจจะถูกตีความว่าเป็นการยอมรับเจ้าชายรัชทายาทที่มีข่าวพัวพันการลอบสังหารนายคาช็อกกี และคดีด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่สหรัฐให้ความสำคัญอยู่มาก

 

นอกจากนี้ ฝ่ายริยาดเอง ก็ได้ดำเนินการสำคัญบางอย่างในเชิงบวกเพื่อปูทางสำหรับการเยือนครั้งนี้เช่นกัน อาทิ การสนับสนุนข้อตกลงหยุดยิงในเยเมนที่มีสหประชาชาติเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย ซึ่งถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่สำหรับไบเดนที่ยกเลิกการสนับสนุนซาอุฯ ทำสงครามในเยเมน นอกจากนี้ ซาอุฯ ยังรับปากช่วยเร่งรัดการเพิ่มกำลังผลิตน้ำมันเท่าที่เคยได้รับอนุมัติไว้แล้วภายในโอเปกพลัส แม้จะไม่ใช่การเพิ่มกำลังการผลิตตามที่สหรัฐคาดหวังก็ตาม