เปิดตัวแล้ว 'กรอบเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก' มีไทยเข้าร่วมด้วย   

24 พ.ค. 2565 | 00:18 น.

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐประกาศเปิดตัว กรอบเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework - IPEF) ที่กรุงโตเกียววานนี้ (23 พ.ค.) และขณะนี้มีมากกว่า 10 ประเทศแสดงความประสงค์เข้าร่วม รวมทั้งไทย

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวในพิธีเปิดตัว กรอบเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก หรือ IPEF ที่กรุงโตเกียวเมื่อวันจันทร์ (23 พ.ค.) ว่า อนาคตทางเศรษฐกิจของศตวรรษที่ 21 จะถูกเขียนโดย ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก และว่า "เรากำลังเขียนกฎเกณฑ์ขึ้นมาใหม่"

 

ผู้นำสหรัฐได้ร่วมหารือผ่านวิดีโอกับบรรดาผู้นำประเทศที่จะเข้าร่วมในกรอบเศรษฐกิจนี้ ซึ่งได้แก่ ออสเตรเลีย บรูไน อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และ ไทย

 

IPEF ถูกมองว่า เป็นก้าวสำคัญในการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจในแถบอินโด-แปซิฟิกอีกครั้งโดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ หลังจากที่รัฐบาลอเมริกันสมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถอนสหรัฐออกจากการเป็นสมาชิกของข้อตกลงการค้าเสรี Trans-Pacific Partnership (TPP) เมื่อปีค.ศ. 2017 ที่ต่อมากลายเป็นข้อตกลง CPTPP

 

(อ่านเพิ่มเติม: ไทยร่วมเปิดตัว IPEF กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจวงใหม่ที่มีสหรัฐเป็นแกนนำ)

การเปิดตัวกรอบเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (IPEF) ที่กรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 23 พ.ค.2565

นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐกล่าวว่า ประเทศที่เข้าร่วมใน IPEF มีมูลค่าจีดีพีรวมกันราว 40% ของจีดีพีโลก และว่า

 

"กรอบเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก คือส่วนหนึ่งของความพยายามของประธานาธิบดีไบเดนในการผลักดันให้ครอบครัวและแรงงานอเมริกันเป็นศูนย์กลางของนโยบายต่างประเทศและเศรษฐกิจของสหรัฐ ควบคู่ไปกับการกระชับความสัมพันธ์กับพันธมิตรและประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ"

 

ทั้งนี้ กรอบเศรษฐกิจ IPEF ตั้งอยู่บน "เสาหลัก" 4 ประการ คือ

  • เศรษฐกิจที่เชื่อมโยงถึงกัน
  • เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวเร็ว
  • เศรษฐกิจสะอาด และ
  • เศรษฐกิจที่ยุติธรรม

 

ซึ่งประเทศที่เข้าร่วมสามารถเลือกได้ว่าจะเข้าร่วมในส่วนของเสาหลักไหน โดย IPEF  ถูกออกแบบมาให้มี "ความยืดหยุ่น" และ "ความสร้างสรรค์" เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประเทศต่าง ๆ ได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดมากนักเกี่ยวกับกรอบความร่วมมือนี้ นอกจากรายงานสรุปข้อเท็จจริงที่เปิดเผยโดยทำเนียบขาว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐกล่าวว่าจะมีการเผยข้อมูลรายละเอียดอื่น ๆ ออกมามากขึ้นเมื่อมีการเจรจาในขั้นต่อ ๆ ไป

 

จุดที่น่าสังเกตคือ ไม่มีชื่อไต้หวันเข้าร่วมในฐานะประเทศสมาชิกลุ่มแรกของ IPEF แม้ว่าที่ผ่านมา ไต้หวันแสดงความสนใจเข้าร่วมและได้รับเสียงสนับสนุนจากคณะผู้แทนในวุฒิสภาไต้หวัน 52 คนแล้วก็ตาม

 

นักวิเคราะห์ชี้ว่า เอกสารการเปิดตัว IPEF ระบุไว้ค่อนข้างชัดเจนว่า มีความเสี่ยงจากภัยคุกคามจากจีน ซึ่งหมายความว่าหากไต้หวันถูกรวมไว้ในรายชื่อประเทศที่เข้าร่วม จะเป็นเรื่องยากที่จะรวมกลุ่มก้อนของหลายประเทศที่สนใจเข้าร่วมในกรอบเศรษฐกิจนี้ เนื่องจากประเทศเหล่านั้นต่างมีจีนเป็นคู่ค้าสำคัญ

 

ด้านนางแคเธอรีน ไท ผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) กล่าวว่า กำลังหารือกับผู้แทนการค้าไต้หวันเรื่องการทำข้อตกลงการค้าทวิภาคีระหว่างไต้หวันกับสหรัฐแทน

 

ขณะเดียวกัน นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน กล่าวไว้ก่อนการเปิดตัว IPEF ว่า กรอบเศรษฐกิจนี้จะไม่ประสบความสำเร็จ

 

จะสำเร็จหรือ? เสียงวิจารณ์เรื่องกำแพงภาษี

ภายใต้กรอบความร่วมมือนี้จะไม่มีการลดภาษีหรือเปิดเสรีให้สินค้าจากต่างประเทศเช่นเดียวกับข้อตกลงการค้าเสรีฉบับก่อน ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศที่เข้าร่วมต้องการ ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์และคำถามถึงความสำเร็จของ IPEF เนื่องจากไม่มีสิ่งดึงดูดใจให้เข้าร่วมซึ่งต่างจาก ข้อตกลงการค้าเสรี CPTPP (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership) และ อาร์เซป (RCEP หรือ Regional Comprehensive Economic Partnership)

 

นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐกล่าวกับวีโอเอว่า กรอบเศรษฐกิจนี้ไม่ใช่ข้อตกลงการค้าเสรี ซึ่งนั่นคือข้อดี เพราะเป็นการออกแบบมาสำหรับการเจรจาการค้ายุคใหม่ เพื่อรับมือความท้าทายในปัจจุบัน

 

ขณะที่นายเจค คอลวิน ประธานสภาการค้าระหว่างประเทศแห่งชาติ (National Foreign Trade Council) กล่าวกับวีโอเอว่า แม้ IPEF จะไม่ใช่ข้อตกลงการค้าเสรี แต่ประเทศที่เข้าร่วมก็สามารถสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้เช่นกัน

 

"การเจรจาการค้าผ่าน IPEF คือการเสนอโอกาสในการสร้างแนวทางใหม่สู่เศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งแตกต่างจากแนวทางที่ประเทศอย่างจีนและรัสเซียใช้อยู่" คอลวินกล่าวและแสดงความหวังว่าจะได้เห็นการมีส่วนร่วมในการจัดการห่วงโซ่อุปทานสินค้าโลก ซึ่งช่วยแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในแถบอินโด-แปซิฟิกในขณะนี้ได้

 

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สหรัฐประเมินว่า อินโด-แปซิฟิก ซึ่งมีประชากรรวมกันราว 60% ของประชากรโลก จะกลายเป็นภูมิภาคที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลกในช่วง 30 ปีข้างหน้า และทำเนียบขาวชี้ว่า ปริมาณการลงทุนโดยตรงของสหรัฐในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อยู่ที่ระดับมากกว่า 969,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปีค.ศ. 2020 (พ.ศ.2563)

 

ที่มา: วีโอเอ