“คริสต์มาสอีฟ” ที่มาและความหมาย ที่หลายคนยังไม่รู้

19 ธ.ค. 2566 | 23:35 น.

วันคริสต์มาสที่หลายคนตั้งตารอคอยใกล้เข้ามาแล้ว แต่ความจริง "วันก่อนคริสต์มาส" หรือ "คริสต์มาสอีฟ" (Christmas Eve) ซึ่งตรงกับวันที่ 24 ธันวาคมนั้น ก็มีความสำคัญ และมีกิจกรรมต่าง ๆ นานาที่ล้วนมีที่มา เรามาดูกันว่า มีแง่มุมไหนของ "คริสต์มาสอีฟ" ที่เรายังไม่รู้กันบ้าง

คริสต์มาสอีฟ  (Christmas Eve) ตามวัฒนธรรมตะวันตกโดยทั่วไป ก็คือ วันที่ 24 ธันวาคมของทุกปี ตามระบบปฏิทินสมัยใหม่ โดยความหมายจริงคือ เย็นแรกของวันคริสต์มาส ซึ่งมีการเฉลิมฉลองเพื่อระลึกถึง การประสูติของพระเยซู สำหรับปี 2023 นี้ วันคริสต์มาสอีฟตรงกับวันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม

ในวันคริสต์มาสอีฟ ชาวคริสต์จะเดินทางไปร่วมพิธีนมัสการ ตามโบสถ์คาทอลิค ซึ่งจะทำกันในเวลาเที่ยงคืน หรือที่ทางเยอรมนีเรียกว่า “ไวนัคท์” (Weihnacht) ที่มีความหมายเดียวกันกับคำว่า “White Christmas” ซึ่งถือว่าเป็น “คืนอันศักดิ์สิทธิ์”

เหตุผลที่คริสต์มาสเริ่มต้นในตอนเย็นของวันคริสต์มาสอีฟ นั่นเป็นเพราะธรรมเนียมการนับปีของคริสเตียน วันจะเริ่มต้นเมื่อพระอาทิตย์ตก ตามเรื่องราวในปฐมกาล เกิดความสว่างกับความมืด คือวันที่ 1

“คริสต์มาสอีฟ” ที่มาและความหมาย ที่หลายคนยังไม่รู้

นอกจากนี้ ในคืนก่อนวันนี้จะมีงาน “แครอลลิง” (carolling) ซึ่งจะมีเด็กๆ ไปร้องเพลงตามบ้านในคืนวันคริสต์มาส ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ จะมารวมตัวกันที่โบสถ์เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น การแสดง ร้องเพลง จากนั้นในวันที่ 25 ธันวาคม ก็จะมีการเฉลิมฉลองกันตามบ้านเรือน และถือเป็นโอกาสดีที่จะมีการเยี่ยมเยียนระหว่างญาติพี่น้อง ส่วนในตอนกลางคืนทุกคนจะพร้อมหน้าเพื่อมาร่วมรับประทานอาหารค่ำและอาหารมื้อ สำคัญบนโต๊ะนั่นก็คือ ไก่งวง

ในคืนวันคริสต์มาสอีฟ เด็กๆ จะเอาถุงเท้าไปแขวนไว้หน้าเตาผิง เพราะเชื่อว่าซานต้าจะปีนลงมาตามปล่องไฟ และเอาของขวัญใส่ไว้ในถุงเท้าที่มีชื่อของแต่ละคนติดไว้ พอตอนเช้า ก็จะรีบตื่นมาตรวจถุงเท้าของตัวเองว่ามีของขวัญจากซานต้าหรือไม่

“คริสต์มาสอีฟ” ที่มาและความหมาย ที่หลายคนยังไม่รู้

ที่มาของถุงเท้า และของขวัญชิ้นแรกจากซานต้า

ต้นกำเนิดความคิดนี้ มาจากตำนานของนักบุญนิโคลัส กล่าวกันว่าท่านมีน้องสาวสามคน อาศัยอยู่นอกเมืองในชนบท (บ้างก็ว่าหญิงสาวสามคนนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน) หญิงสาวทั้งสามยากจนมากจนคิดขายตัว พอนักบุญนิโคลัสทราบข่าวจึงคิดช่วยเหลือ หนึ่งคืนก่อนวันคริสต์มาสท่านจึงเดินทางกลับไปที่บ้าน และแอบหย่อนเหรียญทองสามเหรียญลงไปในรูที่มีไว้ระบายควันจากเตาไฟ ปรากฏว่าเหรียญทั้งสามไม่ได้ตกลงไปหน้าเตาไฟ แต่กลับกลิ้งเข้าไปในถุงเท้าที่พวกเธอแขวนตากไว้ที่หน้าเตาไฟ สาวทั้งสามต่างดีใจเมื่อพบเหรียญทองซึ่งทำให้เธอไม่ต้องไปเป็นโสเภณี

เสียงระฆังก่อนเที่ยงคืน

เสียงระฆังที่ดังขึ้นในตอนรุ่งสางของวันคริสต์มาสนั้นถือเป็นการเฉลิมฉลองให้กับการกำเนิดของพระเยซู ตามตำนานได้เล่าไว้ว่าเสียงระฆังได้ดังอยู่นานนับชั่วโมงก่อนเวลาเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสอีฟ การตีระฆังดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อลดพลังความมืดก่อนที่ “ผู้ช่วยในการไถ่บาป” หรือพระเยซู จะถือกำเนิดขึ้น และในเวลาเที่ยงคืน(ของวันคริสต์มาสอีฟ) เสียงกึกก้องของระฆังได้เปลี่ยนมาเป็นเสียงแห่งความสุข

ตำนานยังระบุว่า เสียงของระฆังนั้นยังมีจุดประสงค์อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะตีระฆังเพื่อประกาศให้รู้ถึงการจากไปของผู้ที่ล่วงลับ ยังถือเป็นการบอกถึงการตายของปีศาจ (devil) ที่ถูกพาขึ้นมาโดยการกำเนิดของพระผู้เป็นเจ้า ระฆังของโบสถ์ยังรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งคือ ‘the Old Lad’s Passing bell‘ ซึ่ง Old Lad คือคำสุภาพที่ใช้เรียกซาตาน เมื่อเสียงระฆังดังนั้นยังถือเป็นการขับไล่ภูตผีวิญญาณร้ายที่จะหนีให้ห่างจากเสียงทุกเสียงอีกด้วย

“คริสต์มาสอีฟ” ที่มาและความหมาย ที่หลายคนยังไม่รู้

ระฆังคริสต์มาสนั้นมีอยู่หลากหลายชนิดด้วยกัน โดยเราอาจจะได้ยินเสียงในตอนเช้าของวันคริสต์มาส นอกจากนี้ ยังถูกนำไปประดับตกแต่งในการ์ดวันคริสต์มาสและบนต้นคริสต์มาสด้วย เหล่าผู้เฉลิมฉลองจะตีระฆังเหล่านี้เพื่อป่าวประกาศถึงงานรื่นเริง เหมือนกับที่ Father Christmas หรือ ซานตา คลอส ทำตอนลากรถเลื่อนเพื่อแจกของขวัญให้กับเด็กๆ

กรุ๋งกริ๋ง ๆ โฮะๆ โฮ่ ซานต้าจะมาแล้ว พวกเราพร้อมต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขกันหรือยัง “Merry Christmas!”