สิงคโปร์เตรียมปรับนโยบายแรงงานต่างชาติ ป้องกันพลเมืองโดนแย่งงาน

ความเคลื่อนไหวในเรื่องดังกล่าวซึ่ง นายลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ (8 ส.ค.) ขณะกล่าวสุนทรพจน์ต่อประชาชนชาวสิงคโปร์เนื่องในโอกาสวันชาติ มีขึ้นหลังจากที่ชาวสิงคโปร์มีความกังวลว่า การเปิดรับ แรงงานต่างชาติ มากเกินไปจะทำให้ชาวสิงคโปร์เองหางานได้ยากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งก่อให้เกิดความไม่แน่นอน

แต่เนื่องจากสิงคโปร์ยังจำเป็นต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติในฐานะที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจระดับโลก โดยนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เตือนว่าการกีดกันแรงงานต่างชาติอาจบั่นทอนชื่อเสียงของสิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งจะทำให้สิงคโปร์เสียงานและโอกาสมากมาย

ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงต้องพิจารณานโยบายแรงงานต่างชาติให้มีความสมดุล และทำให้พลเมืองสิงคโปร์อุ่นใจว่าตนจะไม่ถูกแย่งงาน

ประเด็นเกี่ยวกับแรงงานต่างชาติเป็นเรื่องร้อนทางการเมืองของสิงคโปร์ และมักจะเป็นประเด็นที่มีการนำไปหาเสียงทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง ซึ่งรวมถึงการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปีที่ผ่านมา (2563) ที่บรรดาพรรคการฝ่ายค้านพากันหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาโจมตีพรรคพีเพิลส์ แอคชั่น ปาร์ตี้ (พีเอพี) หรือพรรคกิจประชาชนของนายลี เซียน ลุง ที่ครองอำนาจอย่างอยู่ยงคงกะพันมาตั้งแต่ปีที่สิงคโปร์ได้รับเอกราช (ค.ศ.1965)

เมื่อราว 10 ปีที่แล้ว สิงคโปร์มีชาวต่างชาติมาทำมาหาเลี้ยงชีพคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของประชากรทั้งประเทศ แต่ปัจจุบัน ตัวเลขดังกล่าวได้ขยับขึ้นเกือบแตะ 30 % ของประชากรที่มีอยู่ราว 5.7 ล้านคน นายลี เซียน ลุง เตือนว่ากระแสต่อต้านแรงงานต่างชาติไม่เป็นผลดีสำหรับสิงคโปร์ “การปิดกั้นและมองแต่เรื่องของเราภายในประเทศจะสร้างความเสียหายให้กับสถานะของสิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางของภูมิภาคและของโลก” และหากเป็นเช่นนั้น สิงคโปร์ก็จะสูญเสียทั้งโอกาสและตำแหน่งงาน  

ทั้งนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ได้ปรับนโยบายรับแรงงานต่างชาติให้มีความเข้มงวดขึ้นมาหลายปีแล้ว และขณะเดียวกันก็พยายามส่งเสริมการสร้างงานให้กับคนภายในประเทศด้วย ซึ่งรวมถึงการปรับขึ้นเกณฑ์เงินเดือนในการออกใบอนุญาตทำงาน

จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้แรงงานต่างชาติจำเป็นต้องออกจากประเทศสิงคโปร์เนื่องจากมาตรการควบคุมการเดินทาง รวมทั้งการตกงานเพราะโควิด-19 ทำให้จำนวนผู้ที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์ปรับลดลง 0.3% ในปีที่แล้ว (2563) ซึ่งเป็นการปรับลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา