บทความพิเศษโดย:สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปราก
ท่าอากาศยานกรุงปราก (Prague Airport) สาธารณรัฐเช็ก หรือ Vaclav Havel Airport Prague อาจเป็นท่าอากาศยานที่ไม่ค่อยเป็นที่คุ้นหูนักสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย เพราะในปัจจุบันการเดินทางมาท่องเที่ยวที่สาธารณรัฐเช็กนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จากนอกภูมิภาค รวมทั้งนักท่องเที่ยวจากประเทศไทย ยังนิยมเดินทางโดยรถไฟและรถยนต์ผ่านประเทศเพื่อบ้านของสาธารณรัฐเช็กอย่างเยอรมนีและออสเตรีย วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับท่าอากาศยานกรุงปรากและศักยภาพของสนามบินแห่งนี้กันให้มากยิ่งขึ้น ท่าอากาศยานกรุงปราก เป็นท่าอากาศยานนานาชาติของสาธารณรัฐเช็ก เริ่มเปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1937 แทนท่าอากาศยาน Kbely มีชื่อเดิมว่า Prague Ruzyne International Airport ซึ่งได้เคยมีการปรับปรุงและขยายพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยการขยายพื้นที่ครั้งสำคัญมีขึ้นในปี ค.ศ. 1956, 1968, 1997 และ 2006 เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นและพัฒนาพื้นที่ให้บริการทั้งในส่วนของพื้นที่ภายในอาคารผู้โดยสารและลานบินให้ทันสมัยและปลอดภัยตามมาตรฐานสากล
ปัจจุบันบริษัท Prague Airport ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ (ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 2008 และมีกระทรวงการคลังเช็กเป็นผู้ถือหุ้น) เป็นผู้บริหารท่าอากาศยานกรุงปราก โดยเป็นฐานการบินของ 3 สายการบินสำคัญ ได้แก่ (1) Czech Airlines-สายการบินแห่งชาติเช็ก (2) Smartwings (ชื่อเดิมคือ Travel Service Airline) - สายการบินเอกชนเช็กที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเช็กและให้บริการการบินแบบครบวงจร และ (3) Ryanair - สายการบินราคาประหยัดของไอร์แลนด์ และท่าอากาศยานกรุงปรากได้รับรางวัล 1 ใน 3 ท่าอากาศยานที่ให้บริการดีที่สุดในยุโรป (ท่าอากาศยานอีก 2 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานกรุงเอเธนส์ และท่าอากาศยานกรุงเฮลซิงกิ)
ปัจจุบันท่าอากาศยานกรุงปรากมีอัตราการเจริญเติบโตและรองรับผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยถูกจัดอยู่ในประเภทท่าอากาศยานที่มีขนาดรองรับผู้โดยสารระหว่าง 15-25 ล้านคนต่อปี ที่ผ่านมา มีผู้โดยสารเดินทางผ่านสนามบินกรุงปรากเฉลี่ยปีละ 15 ล้านคน จนเมื่อปี ค.ศ. 2018 จำนวนผู้โดยสารได้เพิ่มขึ้นเป็น 16.8 ล้านคน และ
คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 17.7 ล้านคนในปี ค.ศ. 2019 (เพิ่มขึ้น 5.8% จากปีที่แล้ว) โดยมีจำนวนสายการบินพาณิชย์กว่า 70 สายการบินที่ใช้กรุงปรากเป็นจุดเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคต่าง ๆ กว่า 160 เส้นทาง และมีสายการบิน cargo 8 สายการบินทำการบินโดยใช้กรุงปรากเป็นศูนย์กลางในการขนส่งสินค้า ซึ่งก่อให้เกิดการจ้างงานประมาณ 2,400 อัตรา และอีกกว่า 14,000 อัตราในส่วนของบริษัทอื่นที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานภายในท่าอากาศยานฯ
โครงสร้างท่าอากาศยานฯ ประกอบด้วย runway 2 แห่ง ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ 2 แห่ง และอาคารผู้โดยสาร 4 อาคาร ได้แก่ (1) Terminal 1 (T1) – สำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ (2) Terminal 2 (T2) – สำหรับการเดินทางภายในประเทศเชงเกน (3) Terminal 3 (T3) – สำหรับเครื่องบินเช่าเหมาลำ และ (4) Terminal 4 (T4) – สำหรับเที่ยวบินบุคคลสำคัญ การต้อนรับแขกของรัฐบาล เครื่องบินพิเศษและเครื่องบินขนาดเล็ก
นับตั้งแต่ปี 2561 บริษัท Prague Airport ได้วางแผนที่จะพัฒนาและปรับปรุงท่าอากาศยานฯ ในระยะยาวเพื่อรองรับการเพิ่มของจำนวนผู้โดยสารและการปรับโครงสร้างพื้นฐานของท่าอากาศยานฯ ให้รองรับเทคโนโลยีการบินสมัยใหม่และพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยทั้งภายในอาคารผู้โดยสารและลานบิน โดยสามารถแบ่งการพัฒนาออกเป็นดังนี้
(1) การพัฒนากิจกรรมการบิน (development of aviation activities) – มุ่งพัฒนาให้ท่าอากาศยานฯ เป็นศูนย์กลาง
การเดินทางของภูมิภาคยุโรปที่สามารถเชื่อมต่อกับประเทศในยุโรปและในภูมิภาคอื่นที่เริ่มเป็นที่หมายใหม่ของการเดินทาง เช่น เอเชีย อเมริกาตอนเหนือ และตะวันออกกลาง รวมทั้งการยกระดับท่าอากาศยานฯ ให้เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางของทั้งคนเช็กและผู้อยู่อาศัยตามแนวชายแดนเช็ก-โปแลนด์ และเช็ก-เยอรมนี และการดึงดูดให้สายการบินพาณิชย์เพิ่มเที่ยวบินและใช้บริการลงจอดที่ท่าอากาศยานฯ มากขึ้น โดยการปรับอัตราค่าจอดและค่าบริการภาคพื้นดินให้มีความเหมาะสมและสามารถแข่งขันกับท่าอากาศยานอื่นได้ (2) การเพิ่มพื้นที่ร้านขายของและยกระดับคุณภาพการให้บริการ (attractive spaces and high-quality services) – พัฒนาเครือข่ายการคมนาคมระหว่างเขตเมืองกับท่าอากาศยานเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับผู้โดยสารและการปรับปรุงพื้นที่
ขายของและจุดให้บริการภายในอาคารผู้โดยสาร (3) การเพิ่มศักยภาพและการปฏิบัติการ (Capacity optimization and operation) - มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของลานบิน การขยาย runway การใช้เทคโนโลยีทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมรวมถึงการลดระดับเสียงในพื้นที่และการจัดระบบพื้นที่จราจรบริเวณท่าอากาศยานฯ และ
(4) การพัฒนาเมืองท่าอากาศยาน (Development of Airport City) - มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐานบริเวณรอบ พื้นที่ท่าอากาศยานฯ และการพัฒนาระบบคมนาคมเชื่อมตัวเมืองกับท่าอากาศยาน รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่โดยรอบให้เป็นแหล่งธุรกิจสำคัญของเช็กในอนาคต
ในปี 2562 บริษัท Prague Airport ได้เชิญชวนให้บริษัทต่าง ๆ เข้าร่วมการประมูลเพื่อร่วมพัฒนาท่าอากาศยานฯ และคาดว่าจนถึงปลายปี 2562 จะมีการส่งหนังสือเชิญชวนภาคเอกชนให้เข้าร่วมประมูลกว่า 145 ราย (คาดว่ามูลค่าการลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 2.5 – 3 พันล้านคอรูน่าหรือประมาณ 113.63 – 136.36 ล้าน USD) โดยจะเป็นการพัฒนา Taxiway การติดตั้งระบบหัวจ่ายน้ำมัน และปรับปรุงเครื่องมือและอุปกรณ์ให้บริการทั้งภายในและภายนอกอาคาร การก่อสร้างโรงบำบัดน้ำเสียและพัฒนาระบบระบายน้ำในลานบิน การสร้างถนนยกระดับเพื่อเชื่อมต่อระหว่าง T1 และ T2 ในส่วนของอาคารผู้โดยสารจะมีการเพิ่มพื้นที่ Check-in สำหรับเครื่องบินที่จอดในจุดจอดระยะไกล การพัฒนาพื้นที่พักรอของผู้โดยสารขาออก การขยายพื้นที่ร้านอาหารและบริเวณรับประทานอาหารใน
T1 ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวจะทำให้ท่าอากาศยานสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 23 ล้านคนภายในปี ค.ศ. 2035
จากการจัดอันดับท่าอากาศยาน 100 แห่งทั่วโลกของบริษัท Skytrax ในปี 2562 โดยมีตัวชี้วัด อาทิ ความสะดวกสบายในการเดินทาง การให้บริการ และความมีมนุษย์สัมพันธ์อันดีของพนักงานท่าอากาศยานกรุงปรากถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 97 (ตกจากอันดับ 92 ในปี 2561) ในขณะที่ท่าอากาศยานของประเทศในภูมิภาคยุโรปกลาง ได้แก่ วอร์ซอ อยู่ในอันดับที่ 91 (ขึ้นจากอันกับที่ 95 ในปี 2561) บูดาเปสต์ อยู่ในอันดับที่ 89 (ขึ้นจาก 90 ในปี 2561) ซึ่งการที่ท่าอากาศยานกรุงปรากได้รับการจัดอันดับไม่ค่อยดีเท่าใดนักน่าจะมีส่วนสำคัญที่ทำให้ บริษัท Prague Airport หันมาให้ความสำคัญกับการเร่งพัฒนาและปรับปรุงท่าอากาศยานในทุกมิติในระยะยาว
การเปิดเส้นทางบินตรงระหว่างกรุงเทพฯ-กรุงปรากนับเป็นอีกหนึ่งความคาดหวังของ บริษัท Prague Airport ว่าจะมีส่วนช่วยเพิ่มจำนวนผู้โดยสารจากเอเชียเนื่องจาก บริษัท Prague Airport มองว่า ประเทศไทยเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญของเอเชีย และนอกจากการมุ่งขยายเส้นทางการบินไปยังปลายทางใหม่ ๆ ยุโรป แล้วเช็กยังมีความพยายามที่จะขยายเส้นทางไปยังเมืองสำคัญในเอเชีย และมีแนวโน้มว่า สายการบิน Bamboo Airways ของเวียดนามจะเปิดเส้นทางบินตรงระหว่างกรุงฮานอย-กรุงปรากในปี 2563 ด้วย
การตัดสินใจเปิดเส้นทางบินตรง กรุงเทพฯ-กรุงปราก ของบริษัท Air Asia X ภายในปี 2562 หรือ 2563 นับเป็นโอกาสสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทย-เช็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการท่องเที่ยวทั้งในการดึงดูด นักท่องเที่ยวยุโรปไปยังประเทศไทยและการอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยและประเทศในเอเชียในการเดินทางไปยังยุโรป และยังเป็นช่วงเวลาที่สอดคล้องกับความต้องการของฝ่ายเช็กในปัจจุบันที่เริ่มดำเนินนโยบายเพิ่มทางเลือกในการเดินทางและการมีปฏิสัมพันธ์กับประเทศในเอเชียให้มากยิ่งขึ้น เราคงต้องมาช่วยกันลุ้นว่า ประเทศไทยจะมีเที่ยวบินตรงระหว่างกรุงเทพฯ-กรุงปรากให้นักท่องเที่ยวไทยได้เดินทางมาท่องเที่ยวที่เช็กได้สะดวกมากยิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้หรือไม่