หลังจากที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ นางแนนซี่ เปโลซี ออกมาประกาศว่าจะเริ่มกระบวนการไต่สวนหาข้อเท็จจริงว่ามีเหตุผลเพียงพอที่จะเริ่มกระบวนการถอดถอน (impeachment) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากตำแหน่งหรือไม่ จากการที่เขาต่อสายตรงถึงประธานาธิบดียูเครน และได้มีการพูดถึงนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสมัยรัฐบาลโอบามา คู่แข่งคนสำคัญของทรัมป์ในศึกการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯที่กำลังจะมีขึ้นในปีหน้า (2563) และนายฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชายของโจ ที่ไปทำธุรกิจอยู่ในยูเครน มีการตั้งข้อสังเกตว่าการเจรจาทางโทรศัพท์ระหว่างผู้นำทั้งสองอาจเข้าข่ายพยายามกดดันเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ที่สำคัญคือนางเปโลซีระบุว่า พฤติกรรมของประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะเข้าข่ายดึงต่างชาติเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งในสหรัฐฯ และเป็นการกระทำที่ขัดต่อคำปฏิญาณตนและหลักคุณธรรม-จริยธรรมของประธานาธิบดี
สื่อเอ็นบีซีของสหรัฐฯ สัมภาษณ์นายบิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 42 จากพรรคเดโมแครต (ดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2536-2544) ซึ่งเคยมีประสบการณ์ผ่านกระบวนการไต่สวนเพื่อถอดถอนจากตำแหน่งมาแล้วเช่นกัน โดยนายคลินตันมาร่วมเป็นวิทยากรในงานสัมมนาเศรษฐกิจโลกจัดโดยสำนักข่าวบลูมเบิร์กที่นิวยอร์ควานนี้ (25 ก.ย.) เขาให้ความเห็นกับผู้สื่อข่าวเพียงสั้นๆว่าคิดเห็นอย่างไรกับกระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ คลินตันตอบว่า “เป็นเรื่องที่จะมีการตรวจสอบ และมันควรจะต้องมีการตรวจสอบในเรื่องนี้”
ทั้งนี้ อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน เป็นคู่สมรสของนางฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งของนายทรัมป์ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯเมื่อปี 2559 นางฮิลลารีเองได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว (25 ก.ย.) ด้วยว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ทรยศต่อประเทศชาติ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นตัวอันตรายต่อทุกสิ่งที่จะทำให้สหรัฐฯแข็งแกร่งและมีเสรีภาพ เธอสนับสนุนกระบวนการถอดถอนเขาออกจากตำแหน่ง
ก่อนหน้านี้ เคยมีเสียงเรียกร้องให้เริ่มกระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์มาแล้ว ในช่วงที่มีการไต่สวนกรณีรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐฯในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา นักวิชาการด้านกฎหมาย ระบุว่า ไม่สามารถดำเนินคดีประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขณะดำรงตำแหน่งได้ ดังนั้น หนทางเดียวที่จะปลดทรัมป์ได้ ก็คือการเข้าสู่กระบวนการถอดถอน ซึ่งนางแนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนฯ เอาจริงด้วยการตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาเรื่องนี้
การถอดถอนต้องทำอย่างไร
“การถอดถอน” (impeachment) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้นหมายถึง การนำข้อกล่าวหาต่าง ๆ เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อเปิดให้มีการไต่สวนขึ้น รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ระบุว่า ประธานาธิบดีต้องถูกถอดถอนจากตำแหน่งหากกระทำผิดในข้อหาก่อกบฏ ติดสินบน หรือก่ออาชญากรรมรุนแรง หรือ การกระทำผิดลหุโทษ โดยในกระบวนการถอดถอนนั้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สามารถเสนอญัตติยื่นถอดถอนได้ ถ้าพวกเขาสงสัยว่า ประธานาธิบดีกระทำความผิดฐานก่อกบฏ ติดสินบน หรือก่ออาชญากรรมรุนแรง หรือ การกระทำผิดลหุโทษ เมื่อพิจารณาข้อกล่าวหาต่าง ๆ เหล่านั้นแล้ว และถ้าเสียงส่วนใหญ่ (51%) สนับสนุนการยื่นถอดถอน การไต่สวนก็จะเริ่มขึ้น โดยประธานผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐฯ จะเป็นประธานในกระบวนการไต่สวน ส.ส. จะรับผิดชอบในการดำเนินการกล่าวหา ส่วนวุฒิสมาชิกจะทำหน้าที่เป็นคณะลูกขุน ขณะที่ประธานาธิบดีสามารถแต่งตั้งทนายความฝ่ายจำเลยได้
เมื่อการไต่สวนสิ้นสุด วุฒิสภาสหรัฐฯ จะลงมติ ถ้าวุฒิสมาชิกอย่างน้อย 2 ใน 3 (67%) เห็นว่า ประธานาธิบดีมีความผิด ประธานาธิบดีคนนั้นจะถูกปลดจากตำแหน่ง แล้วรองประธานาธิบดีจะก้าวขึ้นมาทำหน้าที่แทนในช่วงวาระการดำรงตำแหน่งที่เหลืออยู่ อย่างไรก็ตาม ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ยังไม่เคยมีประธานาธิบดีคนไหนที่ถูกปลดจากตำแหน่งมาก่อน
กรณีล่าสุดก่อนหน้านี้ คือการยื่นพิจารณาถอดถอนประธานาธิบดีบิล คลินตันในปี 2541 จากกรณีเบิกความเท็จต่อหน้าคณะลูกขุนใหญ่และขัดขวางกระบวนการยุติธรรม หลังจากที่เขาโกหกเรื่องความสัมพันธ์กับ โมนิกา ลูวินสกี เด็กฝึกงานในทำเนียบ แล้วก็ยังถูกกล่าวหาว่า เขาขอให้เธอโกหกเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
ครั้งนั้น สมาชิกคณะกรรมการยุติธรรมของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ หารือเกี่ยวกับการถอดถอนประธานาธิบดีบิล คลินตัน เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2541 และสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติ 228 ต่อ 206 เสียง สนับสนุนการยื่นถอดถอนประธานาธิบดีคลินตันในข้อหาแรก และ 221 ต่อ 212 เสียง ในข้อหาที่สอง โดยในขณะนั้น ช่วงเดือน ธ.ค. 2541 คะแนนนิยมในตัวประธานาธิบดีคลินตันอยู่ที่ 72% ซึ่งถือว่ายังสูงมาก
ดูเค้าทรัมป์ก็คงรอด
เมื่อกระบวนการไต่สวนเข้าสู่วุฒิสภาในปี 2542 เสียงสนับสนุนให้ถอดถอนประธานาธิบดีคลินตันมีไม่ถึง 2 ใน 3 (ซึ่งเป็นจำนวนที่เพียงพอในการปลดประธานาธิบดีออกจากตำแหน่ง) คลินตันจึงหลุดพ้นทุกข้อกล่าวหานักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เช่นกันว่า ถ้าประธานาธิบดีทรัมป์เข้าสู่กระบวนการอิมพีชเมนท์ เขาก็น่าจะรอด เพราะปัจจุบัน สมาชิกพรรครีพับลิกันของเขาครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ดังนั้น เขาจึงไม่น่าจะถูกโหวตปลดจากตำแหน่ง ถ้าไม่มีสมาชิกภายในพรรคต่อต้านเขาหรือแปรพักตร์