เลือกตั้ง 2566 ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 นี้ ประชาชนล้วนมีความตื่นตัว และจับตาการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กันอย่างใกล้ชิด หลังจากการเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อ 7 พฤษภาคม 2566 ผ่านไป ทำให้มีการนำเสนอเหตุการณ์ และการแสดงความคิดเห็นกันต่อการเลือกตั้งกันเป็นจำนวนมาก
ล่าสุด เพจเฟซบุ๊กของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้โพสต์ข้อความ ประกอบรูปภาพ เตือนไม่ให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดีย กดไลค์ กดแชร์ รีทวิต รีโพสต์ ในทุกช่องทาง รวมถึงการส่งต่อทางไลน์ไปยังกลุ่มต่างๆ หรือช่องทางสื่อสารอื่นๆ สำหรับเนื้อหาที่มีลักษณะเป็นความเท็จ โดยมีความผิด ตาม พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ.2560 มาตรา 14 จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เช็คเนื้อหาที่เป็นเท็จ กกต.เตือน เสี่ยงคุก
กรณี บัตรเลือกตั้งล่วงหน้า จ.นนทบุรี
กกต.ชี้แจงว่า กรณีนายสมภพ รัตนวลี ผู้อำนวยการฝ่ายข่าวเวิร์คพอยท์ แสดงความเห็นทางแอปพลิเคชัน TikTok ว่า “คนที่เค้าไปเลือกที่จังหวัดเค้า แต่คะแนนกลับโผล่จังหวัดนนทบุรี แล้วกาจากพรรคหนึ่งกลายเป็นอีกพรรคหนึ่ง ขั้วตรงข้ามกันเลย แล้วเป็นอย่างนี้อีกหลายคน กกต. ออกมายอมรับแล้วอ้างว่าเจ้าหน้าที่ผิดพลาด” นั้น ข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จทั้งสิ้น
เนื่องจากยังไม่มีการนำบัตรมานับคะแนนจึงไม่อาจทราบว่าคะแนนเป็นของผู้สมัครคนใด ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวจึงเป็นความเท็จ และเหตุการณ์ดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้นจริงในการเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้งของจังหวัดนนทบุรี ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ
กรณีภาพข่าวเจ้าหน้าที่ นั่งเขียนบัตรเลือกตั้ง
กกต.ชี้แจงว่าภาพ และคลิปวิดีโอ ในโลกออนไลน์ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งได้นำบัตรเลือกตั้งมาทำเครื่องหมายกากบาทลงในบัตรเลือกตั้งนั้น ข้อเท็จจริงคือ เป็นการลงนามหน้าปกเล่มบัตรเลือกตั้งก่อนส่งมอบให้กับ กปน. ขอยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำเครื่องหมายกากบาทลงในบัตรเลือกตั้งแทนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทั้งสิ้น
กรณี การรายงานผลนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ
จากการที่ นายอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ ผู้อำนวยการโครงการการรายงานผลคะแนนการเลือกตั้ง ส.ส. 2566 สมาคมโทรทัศน์ระบบดิจิตอล (ประเทศไทย) และนายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการ iLaw กล่าวอ้างข้อเสียของระบบการรายงานผลของ กกต. ในรายการตอบโจทย์ ออกอากาศเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2566
1. การตรวจเช็คคนกรอกข้อมูลจากแบบ ส.ส. 5/18 ไม่รู้ว่าเป็นใคร ชื่ออะไร
2. การรายงานผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ กกต. จะไม่รายงานจำนวนบัตรเสีย และบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน
3. กกต.จะรายงานผลคะแนนเพียง 94%
กกต. ขอชี้แจงว่า ในการรายงานผลการนับคะแนน กปน. จะทำหน้าที่จัดทำแบบรายงานผลการนับคะแนน แบบ ส.ส. 5/18 แล้วจัดส่งให้ อนุกรรมการประจำเขตเลือกตั้ง เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้อง โดยบุคคลดังกล่าวได้รับการแต่งตั้งจาก กกต.เขต และประกาศคำสั่งแต่งตั้งให้ประชาชนได้รับทราบโดยทั่วกัน
ส่วนการรายงานผลการนับคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. อย่างไม่เป็นทางการ กกต. จะรายงานเฉพาะคะแนนของผู้สมัครและพรรคการเมืองที่ได้รับทั้งหมด ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว กกต. จึงดำเนินการให้มีการรายงานผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
สำหรับ กรณีการส่งบัตรเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตเลือกตั้ง กปน. จะทำการตรวจสอบรายละเอียดที่ปรากฏบนซองใส่บัตรเลือกตั้งจากบัญชีผู้ลงทะเบียนและมาใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า เพื่อให้ถูกต้องตามความเป็นจริง หลังจากนั้นจึงนำส่งศูนย์ไปรษณีย์เพื่อคัดแยกและจัดส่งให้ตามเขตเลือกตั้งนั้น ๆ
กรณี ปากกาในหน่วยเลือกตั้ง หมึกจะจางหายไปเอง
กกต. ขอชี้แจงว่าปากกาที่ใช้ในคูหาเลือกตั้งทุกหน่วยเลือกตั้ง เป็นปากกาลูกลื่นทั้งหมด โดยปากกาดังกล่าวไม่สามารถลบเลือนหรือจางหายไปได้เอง ดังนั้นปากกาที่ปรากฎเป็นข่าวจึงเป็นความเท็จทั้งสิ้น จึงขอชี้แจงให้ประชาชนได้ทราบโดยทั่วกัน
กรณี มีผู้มาใช้สิทธิล่วงหน้า เกินกว่าที่ลงทะเบียน
กกต.ชี้แจงกรณีที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ได้แถลงข่าวว่าหน่วยเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตเลือกตั้งในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มีผู้ลงทะเบียนมาใช้สิทธิเลือกตั้ง จำนวน 2,047 คน แต่มีผู้มาใช้สิทธิในวันดังกล่าว จำนวน 2,628 คน เกินจำนวนผู้ลงทะเบียน 581 คน เป็นความเท็จทั้งสิ้น
เนื่องจากอำเภอหาดใหญ่ มีเขตเลือกตั้งล่วงหน้า จำนวน 3 เขต ไม่มีเขตเลือกตั้งใดมีจำนวนตรงกับจำนวนตัวเลขที่เป็นข่าว และจำนวนผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งล่วงหน้าทั้ง 3 เขต ไม่มีเขตใดมีผู้มาใช้สิทธิเกินจำนวนผู้ลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้ง
ทั้งนี้ กกต.ได้เน้นย้ำถึงความผิด ถึงการกดไลค์ กดแชร์ รีทวิต รีโพสต์ ทั้งทางยูทูป ทางTiktok รวมถึงการส่งต่อทางไลน์ไปยังกลุ่มต่างๆ หรือช่องทางสื่อสารอื่นๆ สำหรับข่าวเท็จที่ได้ระบุไว้นี้ และข่าวเท็จอื่นๆ มีความผิดตาม พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14 จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ