KEY
POINTS
วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (MUIC) เปิดผลสำรวจผู้ประกอบการ “Annual Graduate Employer Survey 2025” จากองค์กรชั้นนำ ครอบคลุมภาคเอกชน ภาครัฐ และอาจารย์ที่ปรึกษาบัณฑิตศึกษาต่อต่างประเทศนำ ควบคู่กับผลสำรวจความคิดเห็นบัณฑิตที่จบการศึกษาในปี 2025 พบ 3 เทรนด์ใหญ่ที่ตลาดแรงงานแห่งอนาคตต้องการ
ประกอบด้วย 1. นายจ้าง 93% ให้ความสำคัญกับทักษะ ‘การสื่อสารภาษาอังกฤษ’ สูงสุด และ 90% ต้องการคนที่เข้าใจและสามารถใช้ ‘AI และเครื่องมือดิจิทัลต่างๆ ได้’
โดย 75% ชี้ว่า ‘ความพร้อมทำงานจริงในปีแรก’ สำคัญกว่าเกรด และ 60% กังวลบัณฑิตใหม่ขาดทักษะการจัดการด้านอารมณ์ (emotional intelligence) และสื่อสารในสถานการณ์ที่มีความกดดันสูง
พร้อมเสนอ “7 แนวทางปรับตัวของสถาบันการศึกษา” เปิด 5 สายอาชีพดาวรุ่ง พร้อมนำร่องปรับ 17 หลักสูตรปั้นบัณฑิตตอบโจทย์ทันที
โดยนายจ้างในประเทศไทยให้ความสำคัญกับทักษะหลัก 3 ด้าน ซึ่งจะเป็น “หัวใจของความพร้อมในการทำงาน” ได้แก่
(1) ทักษะการสื่อสารในระดับนานาชาติ (Global Communication)
(2) ความรู้ความเข้าใจด้านเทคโนโลยี AI และดิจิทัล (AI & Digital Literacy)
(3) ความพร้อมในการทำงานจริงและการปรับตัวในสภาพแวดล้อมการทำงาน (Workplace Readiness)
แนวโน้มนี้ชี้ชัดว่า ในปี 2569 มหาวิทยาลัยควรปรับการเรียนการสอนภาษาให้สอดคล้องกับบริบทการทำงานจริง เช่น การนำเสนอ การเจรจา และการทำงานในทีมข้ามวัฒนธรรม Cross Culture)
ขณะเดียวกันพบว่ามากกว่า 75% ของนายจ้าง ระบุว่า ความสามารถในการปรับตัวและลงมือทำงานได้จริงในปีแรก เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการประเมินศักยภาพของบัณฑิต มากกว่าผลการเรียนหรือวุฒิการศึกษา นายจ้างจำนวนมากต้องการผู้สมัครที่มีประสบการณ์ ฝึกงาน โครงงานจริง หรือการเรียนรู้จากสถานการณ์ในภาคธุรกิจ ขณะเดียวกันนายจ้างยังมองว่าความมั่นใจและความฉลาดทางอารมณ์เป็นจุดอ่อนที่ต้องเร่งพัฒนา แม้ว่านายจ้างส่วนใหญ่พึงพอใจกับคุณธรรมและการทำงานเป็นทีมของบัณฑิต
แต่กว่า 60% พบว่าผู้จบการศึกษายังขาด “ความมั่นใจในการสื่อสารและการจัดการอารมณ์ในสถานการณ์กดดัน” นายจ้างมองว่าทักษะด้านจิตใจและอารมณ์เป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงานในยุคที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เนื่องจาก“ทักษะทางเทคนิคทำให้ได้งาน แต่ความฉลาดทางอารมณ์คือสิ่งที่ทำให้คนเติบโตในงาน” สถาบันการศึกษาควรให้ความสำคัญกับ การพัฒนา Soft Skills เช่น ความมั่นใจ ความยืดหยุ่นทางอารมณ์ และความฉลาดทางสังคม เพื่อเตรียมคนรุ่นใหม่ให้พร้อมสำหรับโลกการทำงานจริง
1. AI & Data Literacy for All: ฝังทักษะ AI และ Data Analysis ลงในทุกหลักสูตร ไม่จำกัดเฉพาะสายไอที
2. Work - Integrated Learning (WIL): ผนวกการฝึกงานและเคสจริงจากองค์กร เพื่อลดช่องว่าง เรียนจบแต่ทำงานไม่เป็น”
3. Global Communication Bootcamp: เน้น "ภาษางาน" (Business Language) ที่ใช้ทำงานจริง เช่น ภาษาเพื่อการนำเสนอ, ภาษาเพื่อการเจรจา, การเขียนอีเมลธุรกิจ และการทำงานในทีมข้ามวัฒนธรรม (Cross-cultural Communication)
4. Critical Thinking Studio: จัดเวิร์กช็อปแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ เช่น Case-based Analysis, Decision Tree & Hypothesis-driven Thinking เพื่อลดปัญหา คิดไม่เป็น ตัดสินใจไม่ชัด
5. Emotional Resilience & Professional Etiquette: ฝึกการทำงานภายใต้แรงกดดันและความเป็นมืออาชีพ เพื่อเพิ่มวุฒิภาวะ
6. Career Tracks & Micro-Credentials: ออกแบบเส้นทางทักษะ (Skill Mapping) และใบรับรองทักษะเฉพาะทาง (Micro-Credential Certificates) ที่นายจ้างสามารถเข้าใจ เช่น Data–AI Track, Cybersecurity Track, Digital Hospitality Track, HealthTech Track และ ESG/Sustainability Track
7. Language as an Economic Skill: ปรับวิชาภาษาให้เป็น "วิชาทักษะทำงาน" ไม่ใช่เพื่อสอบเท่านั้น แต่เป็นภาษาเพื่อการสื่อสารในงานจริง การสรุปงาน การเจรจา และการนำเสนอ
1. ดิจิทัล – ข้อมูล – AI เช่น นักวิเคราะห์ข้อมูล, วิศวกรข้อมูล, ผู้เชี่ยวชาญด้าน Prompt/Automation
2.ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ / การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านดิจิทัล (Digital Compliance) เช่น นักวิเคราะห์ความปลอดภัยไซเบอร์, ผู้เชี่ยวชาญด้าน GRC (Governance, Risk & Compliance)/Privacy
3. การท่องเที่ยว–บริการเชิงคุณภาพแบบดิจิทัล เช่น การตลาดดิจิทัลในธุรกิจโรงแรม, การออกแบบประสบการณ์ (Experience Design) ให้ผู้เข้าพักประทับใจตั้งแต่ต้นจนจบ
4. การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่เน้นการป้องกันและการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน (Healthcare and Wellness) โดยใช้ AI และ เครื่องมือดิจิทัล เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพรายบุคคล, การสื่อสารด้านสุขภาพเฉพาะกลุ่ม
5. การปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจและสังคมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนมากขึ้น (Green transformation) เช่น นักวิเคราะห์และจัดทำรายงานประเมินด้านความยั่งยืนหรือ ESG (Environment, Social & Governance), การจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน)
“เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว MUIC ได้นำร่องปรับหลักสูตรใหม่ 17 สาขา ครอบคลุมทั้งสายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี บริหารธุรกิจ และศิลปศาสตร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อปั้นบัณฑิตให้ 'พร้อมทำงานจริง' (Workplace Readiness) เราได้บูรณาการทักษะจำเป็นแห่งยุค AI และดิจิทัลเข้าไปในหลักสูตร และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านระบบ I-Design Elective ที่นักศึกษาสามารถเลือกเรียนวิชาเสริมเพื่อสร้างทักษะเฉพาะตัว เรามั่นใจว่าบัณฑิตที่จบจากหลักสูตรใหม่นี้จะตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานแห่งอนาคต ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงจุฬธิดา กล่าวทิ้งท้าย