วิกฤต Apple ผู้บริหารลาออก-เกษียณ ถ่ายเลือดใหม่สู้ศึก AI-เร่งแผนสืบทอด CEO

12 ธ.ค. 2568 | 03:38 น.
อัปเดตล่าสุด :12 ธ.ค. 2568 | 04:00 น.

Apple วิกฤตเปลี่ยนผ่านผู้บริหารครั้งใหญ่สุดในรอบทศวรรษ เร่งปรับทัพ AI สกัดความเสี่ยง “จอห์นนี สรูจิ” จ่อลาออก ก่อนเปลี่ยนมือ CEO

KEY

POINTS

  • Apple กำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงทีมผู้บริหารระดับสูงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ยุคสตีฟ จ็อบส์ ทั้งการลาออกและเกษียณอายุ ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากวิกฤตความล้าหลังด้าน AI และแรงกดดันด้านกฎหมาย
  • บริษัทได้ปรับโครงสร้างองค์กรครั้งสำคัญ โดยดึงตัวผู้บริหารใหม่จาก Google และ Meta เข้ามานำทัพด้าน AI และกฎหมาย เพื่อปรับกลยุทธ์สู้ศึก Generative AI และรับมือคดีต่อต้านการผูกขาด
  • การถ่ายเลือดใหม่ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเร่งรัดแผนการสืบทอดตำแหน่ง CEO ต่อจาก ทิม คุก โดยมีการวางตัว จอห์น เทอร์นัส เป็นตัวเต็ง และสร้างทีมผู้บริหารรุ่นใหม่เพื่อรองรับผู้นำคนต่อไป

Apple Inc. ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความมั่นคงของทีมผู้นำ กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทีมผู้บริหารระดับสูง (C-suite) ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การจากไปของ สตีฟ จ็อบส์ ในปี 2554 การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ซึ่งเกิดขึ้นอย่างเข้มข้นในช่วงปี 2567-2569 ไม่ได้เป็นเพียงการเกษียณตามวาระเท่านั้น แต่เป็นผลจากการตอบสนองเชิงรุกต่อความท้าทายเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดในรอบทศวรรษ

ซึ่งได้แก่ วิกฤตความล้าหลังด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแรงกดดันจากการกำกับดูแลภายใต้กฎหมายต่อต้านการผูกขาด (Antitrust) ทั่วโลก การสูญเสียผู้บริหารระดับสูงที่รายงานตรงต่อ CEO ทิม คุก ถึงสี่คนอย่างกะทันหัน บ่งชี้ว่าบริษัทกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่ผันผวน และต้องเร่งจัดโครงสร้างองค์กรใหม่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านผู้นำในวงกว้าง

วิกฤต Apple ผู้บริหารลาออก-เกษียณ ถ่ายเลือดใหม่สู้ศึก AI-เร่งแผนสืบทอด CEO วิกฤต AI: การยอมรับความล้มเหลวเชิงกลยุทธ์

หนึ่งในจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดคือการเกษียณอายุของ จอห์น จิอันนันเดรีย อดีต Senior VP ฝ่าย Machine Learning และ AI Strategy ซึ่งจะยังคงเป็นที่ปรึกษาจนถึงปี 2569 การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นหลังจากมีรายงานภายในถึง “ความยากลำบากในการพัฒนา AI” และความปั่นป่วนภายในทีม AI ที่ทำให้ Apple ไม่สามารถคว้าโอกาสในวงการ Generative AI ได้

เมื่อ จอห์น จิอันนันเดรีย ถูกดึงตัวมาจาก กูเกิล ในปี 2561 ความคาดหวังสูงมากว่าเขาจะนำพา Apple ก้าวข้าม Siri ที่ล้าหลังได้ แต่กลับกลายเป็นว่า วัฒนธรรมองค์กรของ Apple ที่เน้นความลับ การควบคุมอย่างเข้มงวด และการพัฒนาฮาร์ดแวร์ เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา AI เชิงรู้สร้างที่ต้องมีการวิจัยแบบเปิดกว้างและการปรับใช้ที่รวดเร็ว ส่งผลให้เกิด “วิกฤตความสามารถที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ” เมื่อวิศวกร AI ระดับสูงหลายสิบคน โดยเฉพาะผู้ที่เชี่ยวชาญด้าน Foundation Models ได้ไหลออกไปยังคู่แข่ง เช่น Meta และ OpenAI ซึ่งมีการเสนอแพ็กเกจค่าตอบแทนสูงถึง 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีเพื่อดึงดูดบุคลากรจาก Apple

วิกฤต Apple ผู้บริหารลาออก-เกษียณ ถ่ายเลือดใหม่สู้ศึก AI-เร่งแผนสืบทอด CEO

Apple ได้ตอบโต้วิกฤตนี้ด้วยการแต่งตั้ง อามาร์ สุบรามันยา อดีตผู้บริหารจาก กูเกิล และ Microsoft เข้ามาแทนที่ จอห์น จิอันนันเดรีย ในตำแหน่ง Vice President of AI ประสบการณ์ของ สุบรามันยา ครอบคลุมด้านที่สำคัญที่สุดในยุค Generative AI โดยเฉพาะโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large-scale language models), ระบบ Multimodal AI, และการประเมินความปลอดภัยของ AI (AI Safety) เขาเคยเป็นผู้นำด้านวิศวกรรมสำหรับ Gemini Assistant ของ กูเกิล การแต่งตั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนถึงการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับแนวโน้มของ GenAI โดยมีภารกิจมุ่งเน้นที่ Apple Foundation Models, ML Research, และ AI Safety เพื่อเร่งสร้างสรรค์ประสบการณ์ผู้ใช้ที่เป็นอัจฉริยะและเป็นส่วนตัวอย่างแท้จริง

การปรับทิศทางการออกแบบและการป้องกันเชิงกฎหมาย

ในส่วนของการออกแบบ แอลัน ดาย รองประธานฝ่าย Human Interface Design ได้ลาออกไปร่วมงานกับ Meta การจากไปครั้งนี้เป็นประเด็นที่น่าสนใจ เนื่องจากมีรายงานว่าพนักงานบางส่วนถึงกับ “เฉลิมฉลอง” เมื่อมีการประกาศการจากไปของเขา แอลัน ดาย ถูกวิพากษ์วิจารณ์ภายในว่าขาดความเข้าใจในหลักการ UI/UX พื้นฐาน Apple จึงตัดสินใจโปรโมท สตีเฟน เลเมย์ นักออกแบบที่อยู่กับ Apple มายาวนาน 26 ปี และมีส่วนร่วมในการออกแบบอินเทอร์เฟซหลักทุกอย่างมาตั้งแต่ปี 2542 การปรับเปลี่ยนผู้นำการออกแบบครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนจากผู้นำที่เน้นความสวยงาม ไปสู่ผู้ที่เน้นฟังก์ชันการทำงานที่ใช้ได้จริง เพื่อเตรียมพร้อมองค์กรสำหรับการบูรณาการเทคโนโลยีที่ซับซ้อนอย่าง AI เข้ากับประสบการณ์ผู้ใช้ได้อย่างราบรื่น

ขณะเดียวกัน การเกษียณของ เคท อดัมส์ (General Counsel) และ ลิซา แจ็กสัน (VP Policy) ที่มีกำหนดในปี 2569 เปิดโอกาสให้ Apple ดำเนินการปรับโครงสร้างเพื่อรับมือกับความเสี่ยงด้านกฎหมายที่ทวีความรุนแรงขึ้น Apple ได้ดึงตัว เจนนิเฟอร์ นิวสเตด อดีต Chief Legal Officer ของ Meta เข้ามา นิวสเตด จะดำรงตำแหน่ง Senior VP, General Counsel and Government Affairs โดยเป็นการควบรวมสององค์กรหลัก (กฎหมายและกิจการภาครัฐ) เข้าด้วยกัน การรวมศูนย์อำนาจนี้เป็นมาตรการเชิงรุกในการสร้าง “แนวป้องกันด้านกฎหมายที่เป็นเอกภาพ” เพื่อรับมือกับคดี Antitrust ที่สำคัญจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ และกฎหมาย Digital Markets Act (DMA) ของสหภาพยุโรป

ความเสี่ยงสูงสุด: ชะตากรรมของ Apple Silicon และการสืบทอดตำแหน่ง CEO

ในบรรดาการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ความเสี่ยงทางระบบที่ร้ายแรงที่สุดคือการตัดสินใจของ จอห์นนี สรูจิ Senior VP of Hardware Technologies ซึ่งเป็นสถาปนิกผู้นำในการพัฒนาชิป Apple Silicon ที่เป็นรากฐานของความได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญที่สุดของ Apple

วิกฤต Apple ผู้บริหารลาออก-เกษียณ ถ่ายเลือดใหม่สู้ศึก AI-เร่งแผนสืบทอด CEO จอห์นนี สรูจิ ได้แจ้งต่อ CEO ทิม คุก ว่าเขากำลัง “พิจารณาอย่างจริงจังที่จะลาออกในอนาคตอันใกล้” หากเขาจากไป Apple จะสูญเสียความสามารถในการชี้นำทิศทางในโดเมนสำคัญ รวมถึงสถาปัตยกรรม CPU/GPU และการออกแบบ NPU (AI Accelerator) ที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อน Generative AI ส่งผลให้ ทิม คุก ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อรั้งตัว สรูจิ โดยมีทางเลือกที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคือการเสนอตำแหน่ง Chief Technology Officer (CTO) เพื่อขยายอำนาจให้เขากลายเป็นผู้บริหารที่ทรงอำนาจอันดับสองของบริษัท

วิกฤต Apple ผู้บริหารลาออก-เกษียณ ถ่ายเลือดใหม่สู้ศึก AI-เร่งแผนสืบทอด CEO

การเกษียณของผู้บริหารอาวุโสหลายคนที่มีกำหนดในปี 2569 สะท้อนถึงการวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อเร่งรัดแผนการสืบทอดตำแหน่ง CEO นักวิเคราะห์มองว่า จอห์น เทอร์นัส Senior VP of Hardware Engineering คือตัวเต็งอันดับหนึ่งในการรับตำแหน่ง CEO ต่อจาก ทิม คุก การจัดเรียงตำแหน่งใหม่และการสร้างทีมผู้บริหาร C-suite ที่เหมาะสมกับความท้าทายในยุค AI และกฎหมายนี้ จึงเป็นความพยายามของ Apple ในการสร้าง “จุดเริ่มต้นใหม่ของคนรุ่นใหม่” เพื่อให้ผู้นำคนใหม่สามารถกำหนดทิศทางขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพหลังการเปลี่ยนผ่าน CEO ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2569

วิเคราะห์ หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,157 วันที่ 14 - 17 ธันวาคม พ.ศ. 2568