วงการเทคโนโลยีโลกสะเทือน เมื่อ Builder.ai สตาร์ทอัพปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากอังกฤษที่เคยถูกยกให้เป็น “ยูนิคอร์นดาวรุ่ง” ได้ยื่นล้มละลายอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม 2568 หลังถูก ไวโอลา เครดิต (Viola Credit) เจ้าหนี้รายสำคัญยึดเงินสดไปกว่า 37 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 1,258 ล้านบาท
พร้อมกับกระแสข่าวเปิดโปงว่า “ไม่มี AI จริงเลยแม้แต่น้อย” หรือ "AI ทิพย์" ขัดแย้งกับคำโฆษณาที่เคยอวดอ้างจนสามารถระดมทุนจากยักษ์ใหญ่อย่าง ไมโครซอฟท์ (Microsoft), QIA (Qatar Investment Authority), ซอฟต์แบงก์ (SoftBank), อเมซอน (Amazon) และ ไอเอฟซี (IFC) ได้รวมกว่า 445 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 1.51 หมื่นล้านบาท ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา
5 ล้านดอลลาร์สุดท้าย – พนักงานถูกปลด – เว็บไซต์ปิด
มันปรีต ราเทีย (Manpreet Ratia) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) คนปัจจุบันของ Builder.ai เปิดเผยเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมว่า บริษัทจะยื่นล้มละลายใน 5 เขตอำนาจศาล ได้แก่ อังกฤษ สหรัฐฯ อินเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสิงคโปร์ โดยจะปฏิบัติตามกฎหมายท้องถิ่นของแต่ละประเทศ หลังไวโอลา เครดิต ซึ่งให้กู้ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.7 พันล้านบาท ในปี 2567 ได้เข้ายึดเงินจากบัญชีของบริษัทจำนวน 37 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 1.25 พันล้านบาท เหลือเพียง 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 170 ล้านบาทในบัญชีประเทศอินเดียที่ไม่สามารถนำออกมาใช้ได้เนื่องจากข้อจำกัดด้านการเงินข้ามพรมแดน
จากภาวะขาดสภาพคล่อง Builder.ai จำเป็นต้องปลดพนักงานส่วนใหญ่จากทั้งหมด 770 คน โดยเว็บไซต์ของบริษัทได้ปิดตัวลง เหลือเพียงอีเมลสำหรับติดต่อ
จากยูนิคอร์นสู่จุดจบ ฟองสบู่ AI แตก
Builder.ai ก่อตั้งในปี 2559 โดย ศจิน เดฟ ดุกกัล (Sachin Dev Duggal) นักธุรกิจเชื้อสายอินเดีย ด้วยแนวคิดที่อ้างว่า “ทำให้การสร้างแอปง่ายเหมือนสั่งพิซซ่า” ผ่านเทคโนโลยี AI โดยมี “นาตาชา (Natasha)” ผู้ช่วยดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ช่วยออกแบบและจัดการสร้างแอปโดยไม่ต้องเขียนโค้ดเอง แต่ในความเป็นจริงที่เปิดเผยโดยอดีตพนักงานกลับพบว่า ระบบทั้งหมดไม่มี AI เลยแม้แต่น้อย
สื่อระดับโลกอย่าง วอลล์สตรีทเจอร์นัล (Wall Street Journal) รายงานว่า Builder.ai ใช้เพียง Decision Tree แบบโบราณจากยุค 1950s มาคำนวณโครงสร้างแอป และอาศัยโปรแกรมเมอร์ต้นทุนต่ำจากอินเดียนั่งเขียนโค้ดอยู่เบื้องหลังแทน AI ที่อวดอ้าง แหล่งข่าวใน Reddit ยังเปิดเผยว่า “งานแทบทั้งหมดทำด้วยมือ แอปที่ได้ใช้งานไม่ได้จริง โมดูลไม่ครบ และไม่สามารถเข้าถึงระบบพัฒนา (IDE) ได้เลย”
ใครตกเป็นเหยื่อ?
ความน่าเชื่อถือของ Builder.ai ดึงดูดนักลงทุนชั้นนำทั่วโลก โดยเฉพาะในปี 2566 ที่บริษัทสามารถระดมทุนได้สูงถึง 250 ล้านดอลลาร์ หรือราว 8.5 พันล้านบาท จาก QIA และไมโครซอฟท์ ซึ่งลงทุนเชิงกลยุทธ์และรวมบริการ Builder.ai เข้ากับ Azure Cloud ของตนเอง
รายชื่อนักลงทุนรายใหญ่ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่:
-ไมโครซอฟท์ (Microsoft) – ลงทุนโดยตรงและกลายเป็นเจ้าหนี้ที่ติดค้างกว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 1.02 พันล้านบาท
-อเมซอน (Amazon) – มีหนี้ค้างกับ Builder.ai ถึง 85 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ราว 2.89 พันล้านบาท
-ซอฟต์แบงก์ (SoftBank - DeepCore Incubator) – ร่วมลงทุนตั้งแต่รอบแรก
-QIA (Qatar Investment Authority) – นำรอบ Series D
-วอนเดอร์โค่ (WndrCo) – กองทุนของ เจฟฟรีย์ แคทเซนเบิร์ก (Jeffrey Katzenberg) แห่งฮอลลีวูด
-ไอเอฟซี (IFC – International Finance Corporation) – หน่วยงานในกลุ่มธนาคารโลก
จากวีรบุรุษสตาร์ทอัพสู่ผู้ต้องสงสัย
ก่อนเกิดวิกฤติ ดุกกัล เคยถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะยุคใหม่ โดยอ้างว่าอายุ 14 ปีเริ่มประกอบคอมพิวเตอร์, อายุ 17 ปีพัฒนาระบบเทรดเงินตราให้ ดอยช์แบงก์ (Deutsche Bank) และอายุ 21 ปีสร้างบริษัท Cloud Computing มูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ แต่ในภายหลังพบว่าเป็นเพียงการ “สร้างภาพ” เพื่อโน้มน้าวนักลงทุน
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ดุกกัลลาออกจากตำแหน่งซีอีโอ ท่ามกลางกระแสข่าวเกี่ยวกับ คดีฟอกเงินในอินเดีย พร้อมกับถูกบอร์ดบริษัทลดอำนาจโดยขอให้เขาสละ 4 จาก 5 ที่นั่งในคณะกรรมการที่เขาควบคุมอยู่
การล่มสลายของ Builder.ai กลายเป็นกรณีศึกษาแห่งยุคปัญญาประดิษฐ์ เพราะสะท้อนถึงความรีบร้อนของนักลงทุนทั่วโลกที่แห่ลงทุนเพื่อคว้า “ยูนิคอร์น AI” โดยไม่ตรวจสอบเทคโนโลยีจริงให้ลึกซึ้ง ท่ามกลางความสำเร็จของบริษัทอย่าง โอเพ่นเอไอ (OpenAI) และ แอนโทรปิก (Anthropic)
บริษัทระบุในแถลงการณ์เมื่อ 20 พฤษภาคมว่า “ธุรกิจไม่สามารถฟื้นตัวจากความท้าทายในอดีต และการตัดสินใจในอดีตที่สร้างแรงกดดันอย่างมากต่อฐานะทางการเงิน”
ข้อมูลบริษัท Builder.ai
อ้างอิง straitstimes