“ดีป้า-เนคเทค” รับลูกแผน AI แห่งชาติระยะ 2 ปี เร่งสร้างคน 2.4 แสน

07 พ.ค. 2568 | 01:11 น.

รัฐเดินหน้าขับเคลื่อนแผน AI ระยะ 2 ปี เร่งสร้างกำลังคนกว่า 2.4 แสนคน ดีป้า รับลูกดึงบิ๊กเทคโลก Meta-Oracle รวมพัฒนาคน AI ชูสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษี จูงใจเอกชน-ประชาชน ยกระดับทักษะ AI ขณะที่ เนคเทค เสนอ 5 แนวทางพัฒนา AI ไทยเติบโตมั่นคงและยั่งยืน

ที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee) ครั้งที่ 1/2568 ที่มี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติเห็นชอบกรอบการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ ระยะ 2 ปี ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้เล่นหลักด้าน AI และมีระบบนิเวศที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“ดีป้า-เนคเทค” รับลูกแผน AI แห่งชาติระยะ 2 ปี เร่งสร้างคน 2.4 แสน

โดยมุ่งพัฒนาทั้งในด้านความพร้อมผ่านการพัฒนากำลังคนด้าน AI ทั้ง AI User ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรในสาย IT และ Non IT รวมไม่น้อยกว่า 1 แสนคน AI Professional มากกว่า 90,000 คน และ AI Developer ทั้งวิศวกรและนักวิจัย ไม่น้อยกว่า 50,000 คน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI เพื่อให้คนสามารถเข้าถึง AI ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา Open-source การสร้างคลังข้อมูลกลาง (National Data Bank) และ โมเดลภาษาขนาดใหญ่แห่งชาติ (National LLM) รวมถึงการสร้างธรรมาภิบาลด้าน AI

ขณะเดียวกัน กรอบการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติจะมีการส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดมีความพร้อมที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการบริการสาธารณะ อุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพ เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา การท่องเที่ยว การผลิต การเงิน ความมั่นคงปลอดภัย และการเกษตร

“ดีป้า-เนคเทค” รับลูกแผน AI แห่งชาติระยะ 2 ปี เร่งสร้างคน 2.4 แสน

ด้าน ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ในฐานะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ กล่าวว่า depa พร้อมสนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติอย่างเต็มที่ โดยได้เสนอความเห็นต่อที่ประชุมถึงความสำคัญของการส่งเสริมการลงทุนในดิจิทัลสตาร์ทอัพ โดยเฉพาะกลุ่มที่พัฒนาให้เกิด AI as a Service

“ดีป้า-เนคเทค” รับลูกแผน AI แห่งชาติระยะ 2 ปี เร่งสร้างคน 2.4 แสน

 “depa มีแผนที่จะบูรณาการการทำงานกับภาคเอกชนชั้นนำระดับโลกอย่าง Meta Facebook และ Oracle ในการเร่งสร้างกำลังคนด้าน AI อย่างเป็นรูปธรรม”

 ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวว่ามาตรการสิทธิประโยชน์ด้านภาษีที่จะช่วยกระตุ้นให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาบุคลากรมากขึ้น นั้นองค์กรธุรกิจที่ส่งพนักงานเข้าฝึกอบรมในหลักสูตรดิจิทัลที่ depa และเครือข่ายพันธมิตรให้การรับรอง สามารถนำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 250% นอกจากนี้ยังสามารถหักค่าใช้จ่ายลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 150% ของเงินเดือน 12 เดือนแรกของผู้จบการศึกษาด้านดิจิทัล

ในส่วนของประชาชนทั่วไป depa ได้เตรียมมาตรการช่วยแบ่งเบาภาระภาษี โดยประชาชนสามารถนำใบเสร็จค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียนเรียนในหลักสูตรที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับดิจิทัลมาหักค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2568 ได้ 100%

ขณะเดียวกัน ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า สวทช. ได้เริ่มต้นขับเคลื่อนแผน AI แห่งชาติตั้งแต่ปี 2562 และได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2565 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่กระแสของ Generative AI จะเปลี่ยนภูมิทัศน์ของโลกเทคโนโลยีอย่างฉับพลัน โดยการเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้เกิดคำถามใหญ่หลายประการ เช่น ประเทศไทยควรปรับแผน AI อย่างไรให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลง ความพร้อมของแรงงานไทย และผลกระทบต่อภาคการศึกษา

สำหรับข้อเสนอแนวทางเชิงกลยุทธ์ 5 ข้อที่ควรพิจารณาอย่างจริงจังเพื่อวางรากฐานให้ AI ไทยเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ได้แก่ 1. การสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรมกับการกำกับดูแลอย่างเหมาะสม โดย สวทช. จะทำหน้าที่เป็นผู้สร้างโครงสร้างพื้นฐานความรู้และเทคโนโลยีแบบเปิดเผย (Open Technology) เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถนำไปต่อยอดได้จริง

 2.การผลักดันให้รัฐลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น คลังข้อมูลกลางแห่งชาติ ที่จะเป็นรากฐานของการพัฒนา AI อย่างแท้จริง

 3.ไทยควรศึกษาแนวทางจากประเทศอย่างสิงคโปร์และซาอุดีอาระเบียที่ลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ (In-house) อย่างจริงจังและมีกลไกรับรองภาคธุรกิจจากภาครัฐ

 4.องค์กรภาครัฐและเอกชนเริ่มจากการประเมินความพร้อมของตนเองก่อนนำ AI มาใช้ โดยพิจารณาจากกำลังคน ทักษะ และโครงสร้างที่มีอยู่ เพื่อสามารถปรับกระบวนการทำงานให้สอดรับกับเทคโนโลยีใหม่ โดยยังคงเป้าหมายหลัก คือ การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างความยั่งยืน และ 5. การวางนโยบาย AI ให้ตอบโจทย์ของประเทศอย่างแท้จริง โดยควรเน้นพัฒนาในสาขาที่ไทยมีจุดแข็ง เช่น ด้านสุขภาพ เกษตร และการท่องเที่ยว และต้องยกระดับการศึกษาของประชาชนให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงด้วย

นอกจาก Generative AI ที่เป็นกระแส สวทช. ยังให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา AI ในหลากหลายมิติผ่านศูนย์วิจัยในเครือ ได้แก่ ไบโอเทค (BIOTEC), เอ็มเทค (MTEC), นาโนเทค (NANOTEC), เอ็นเทค (ENTEC) และเนคเทค (NECTEC) ซึ่งล้วนมีผลงานและความเชี่ยวชาญที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ AI เพื่อแก้ปัญหาในภาคเศรษฐกิจและสังคมไทยได้อย่างแท้จริง