นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไมโครซอฟท์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่ารายงาน Work Trend Index ฉบับ 2025 ล่าสุด ระบุว่าผู้บริหารในไทยตื่นตัวกันมากในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หลักขององค์กร โดยมีถึง 93% ที่มองว่าจะต้องคิดใหม่ วางทิศทางใหม่ให้ได้ในปีนี้ และเมื่อมองผลสำรวจในระดับโลก เห็นได้ชัดเจนว่าองค์กรชั้นนำกำลังลงมือปรับเปลี่ยนโครงสร้างการทำงาน ยกระดับ AI จากเครื่องมือใช้งานทั่วไปให้กลายเป็นเพื่อนร่วมทีมคนใหม่ และส่งเสริมให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI Agent อย่างลงตัว
ซึ่งองค์กรเหล่านี้เองที่กำลังสร้างมาตรฐานใหม่ด้านนวัตกรรมในฐานะ ‘Frontier Firm’ เพื่อการเติบโตที่รวดเร็วยิ่งขึ้นต่อไป”
1.“ความชาญฉลาดแบบพร้อมใช้” เป็นสิ่งที่สามารถซื้อได้
ในอดีต ความชาญฉลาดหรือศักยภาพในการคิด วิเคราะห์ และเสริมสร้างฐานความรู้ขององค์กร เป็นสิ่งล้ำค่าที่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเวลาในการทำงาน แรงกาย หรือแรงใจ แต่ในยุค AI นี้ องค์กรระดับ Frontier Firm เริ่มมองเห็นแล้วว่าการมีเครื่องมือ AI หรือมีระบบ AI Agent ทำงานแบบอัตโนมัติอยู่ภายในองค์กร นับเป็นการเติมเต็มช่องว่างด้านขีดความสามารถขององค์กร เพิ่มศักยภาพการทำงานอัจฉริยะ ช่วยให้องค์กรเติบโตได้อย่างคล่องตัวกว่าในอดีต
ผลสำรวจเผยว่าผู้บริหารในประเทศไทยกว่า 90% (ค่าเฉลี่ยทั่วโลก 82%) มีแผนที่จะนำ AI Agent เข้ามาทำงานเคียงข้างพนักงานในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า เนื่องจาก AI Agent สามารถทำความเข้าใจในเนื้องาน วางแผนงาน และทำงานบางส่วนโดยอัตโนมัติด้วยตัวเอง โดยมีพนักงานเป็นผู้ดูแลและตรวจสอบความถูกต้องในขั้นตอนที่สำคัญ หรือเท่ากับว่ามีแผนที่จะขยายองค์กรด้วย “ทีมงานดิจิทัล” ผ่าน AI นั่นเอง
2. เตรียมพลิกผังองค์กร เมื่อพนักงานจับมือ AI ทำงานเป็นทีม
ผู้บริหารองค์กรไทยราว 68% (เฉลี่ยทั่วโลก 46%) บอกกับเราว่าองค์กรของพวกเขาเริ่มนำ AI Agent เข้ามาเปลี่ยนกระบวนการการทำงานบางส่วนให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติเต็มตัวแล้ว ซึ่งนับเป็นอัตราส่วนที่สูงที่สุดในทั้ง 31 ประเทศที่เข้าร่วมการสำรวจ โดยเมื่อมองไปที่ภาพรวมระดับโลกแล้ว จะเห็นได้ว่าองค์กรเริ่มมีทีมงานลูกผสมระหว่างพนักงานและ AI มากขึ้น โดยเฉพาะในสายงานบริการลูกค้า การตลาด และการพัฒนาผลิตภัณฑ์
เมื่อเราหันไปสอบถามพนักงานว่าพวกเขาเลือกขอความช่วยเหลือจาก AI ด้วยเหตุผลอะไรบ้าง พบว่าพนักงานไทยมีมุมมองแตกต่างจากคนทำงานทั่วโลกเล็กน้อย โดยเหตุผลอันดับหนึ่งคือสามารถเรียกใช้งาน AI ได้ทุกเวลา แต่พนักงานไทยเล็งเห็นคุณค่าของ AI ในการนำเสนอไอเดียและความคิดสร้างสรรค์มากกว่า ขณะที่คนทำงานในประเทศอื่นๆ ให้ความสำคัญกับความเร็วและคุณภาพของผลงานจาก AI มากกว่าความคิดสร้างสรรค์เล็กน้อย
อัตราส่วนการใช้งาน AI Agent ขององค์กรไทยที่สูงกว่าชาติอื่นๆ ยังสะท้อนออกมาในรูปของมุมมองที่พนักงานมีต่อ AI อีกด้วย โดย 56% ของพนักงานไทยมอง AI เป็นเหมือนเพื่อนคู่คิดที่แชร์ไอเดียกันในเวลาทำงาน ขณะที่ 43% มอง AI เป็นเครื่องมือที่ทำงานตามคำสั่งเท่านั้น (เฉลี่ยทั่วโลก 46% และ 52% ตามลำดับ)
3.พนักงานทุกคนเป็นหัวหน้างานได้ ด้วยลูกน้องพลัง AI
ข้อมูลทั้งหมดในสองประเด็นที่ผ่านมาล้วนแสดงให้เห็นว่าการใช้งาน AI Agent ในองค์กรมีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มมากขึ้น โดยภายใน 5 ปีข้างหน้า ผู้บริหารไทยมองว่าทีมงานในองค์กรจะต้องมีบทบาทหน้าที่ต่างๆ เหล่านี้อยู่ในงานประจำวันด้วย:
• การออกแบบระบบงานใหม่ด้วย AI (51%)
• การสร้างระบบอัตโนมัติสำหรับงานที่ซับซ้อน โดยมี AI Agent หลายตัวทำงานร่วมกัน (51%)
• การฝึกสอน AI Agent ให้เข้าใจเนื้องาน (56%)
• การบริหารจัดการ AI Agent ในภารกิจต่างๆ (46%)
ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น พนักงานยังคงต้องการแรงสนับสนุนในด้านทักษะและความเชี่ยวชาญ โดยผู้บริหาร ตอบว่าคุ้นเคยกับแนวคิดและการใช้งาน AI Agent เป็นอย่างดี (ไทย 78% และทั่วโลก 67%) มากกว่าพนักงาน (ไทย 53% และ
ทั่วโลก 40%) แต่องค์กรส่วนใหญ่ก็เข้าใจในความจำเป็นตรงจุดนี้แล้ว และยกให้การเสริมสร้างทักษะของพนักงานเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุดขององค์กรในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า
เผยฟีเจอร์ใหม่ใน Microsoft 365 Copilot ตอบโจทย์องค์กรยุค AI Agent
ในโอกาสนี้ ไมโครซอฟท์ได้ประกาศฟีเจอร์ใหม่มากมายใน Microsoft 365 Copilot ที่จะเปิดโอกาสให้องค์กรทั่วโลกได้เข้าถึง AI Agent ที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น พร้อมด้วยโมเดล AI ที่มีความสามารถมากขึ้นในหลายด้าน
• Researcher และ Analyst เป็นสอง AI Agent ใหม่ที่สามารถช่วยงานด้านการวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลได้ ด้วยความสามารถจากโมเดล AI ระดับ deep reasoning ของ OpenAI โดย Agent ทั้งสองตัวจะเปิดให้ลูกค้าองค์กรบางรายได้ทดลองใช้ก่อนในระยะแรก นอกจากนี้ เรายังเปิดตัว Agent Store ที่รวบรวมสารพัด AI Agent จากพันธมิตรของไมโครซอฟท์อย่าง Jira, Monday.com, Miro หรือแม้แต่ Agent ที่แต่ละองค์กรพัฒนาขึ้นเอง มาไว้ในที่เดียวให้เรียกใช้งานได้ง่ายๆ
• ฟังก์ชัน Create ใน Copilot สามารถสร้างสรรค์ภาพต่างๆ ได้ด้วยโมเดล GPT-4o ของ OpenAI จึงพร้อมเป็นผู้ช่วยงานออกแบบและกราฟฟิกของทุกคน สามารถรับมือได้ทั้งการปรับแก้ภาพเพื่อใช้งาน การสร้างภาพใหม่ๆ ที่ตรงกับแนวทางด้านภาพลักษณ์แบรนด์ขององค์กร หรือแม้แต่การเขียนข้อความประกอบ สร้างโพสต์สำหรับโซเชียลมีเดีย วิดีโอ และอื่นๆ อีกมาก
• Copilot Notebooks เปลี่ยนเอกสาร โน้ต และห้องแชทต่างๆ ในมือคุณให้กลายเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดย Copilot สามารถดึงข้อมูลทั้งหมดนี้มาวิเคราะห์ แยกแยะตามความสำคัญ และให้คำแนะนำในการทำงานได้อย่างต่อเนื่องและแม่นยำ ทั้งยังสามารถอัปเดตคำแนะนำดังกล่าวตามข้อมูลใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาได้อีกด้วย
• Copilot Search ช่วยหาคำตอบจากแหล่งข้อมูลทั่วทั้งองค์กรให้กับคำถามและข้อสงสัยของผู้ใช้งาน โดยสามารถเชื่อมต่อกับระบบภายนอกได้มากมาย ทั้งระบบสนับสนุนงาน IT อย่าง ServiceNow ข้อมูลใน Google Drive ห้องแชทใน Slack แหล่งความรู้จาก Confluence หรือสถานะโปรเจคจาก Jira
• Copilot Control System เสริมทางเลือกใหม่ให้องค์กรสามารถเลือกเปิด ปิด หรือบล็อกการใช้งาน AI Agent ในองค์กรได้โดยละเอียด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าพนักงานมีทางเลือกการใช้งาน AI Agent ที่เหมาะสมกับเนื้องานของพวกเขา และลดความผิดพลาดหรือสับสนไปพร้อมกัน
“รายงาน Work Trend Index ประจำปีนี้ ชี้ให้เห็นว่าองค์กรทั่วโลกกำลังก้าวไปอีกขั้น จากการทดลองใช้ AI สู่การใช้งานจริงและการปรับโครงสร้างองค์กรให้เข้ากับยุค AI มากยิ่งขึ้น”
นายธนวัฒน์กล่าวเสริม;jk “เราเชื่อว่าองค์กรและประเทศที่ปรับตัวให้ทำงานแบบ AI-first ได้ จะสามารถผสมผสานความสามารถของมนุษย์และ AI เข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว และปลดล็อกโอกาสใหม่ๆ ในการเติบโตสู่ความสำเร็จได้มากกว่าที่เคย โดยไมโครซอฟท์เองก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุนกับทุกองค์กร ด้วยเทคโนโลยีระดับโลกและคำแนะนำที่ตอบโจทย์ในโลกยุค AI”
รายงาน Work Trend Index ฉบับ 2025 นี้ รวบรวมข้อมูลผลสำรวจผู้บริหารและพนักงานรวม 31,000 คน จาก 31 ประเทศทั่วโลก ควบคู่ไปกับข้อมูลความเคลื่อนไหวในตลาดแรงงานโลกจาก LinkedIn รวมถึงข้อมูลจากการใช้งานจริงของกลุ่มผู้ใช้งาน Microsoft 365 ระดับองค์กร โดยในปีนี้ มีข้อมูลใหม่มาเพิ่มเติมจากกลุ่มสตาร์ทอัพสาย AI นักเศรษฐศาสตร์ และนักวิจัยอีกจำนวนหนึ่ง