KEY
POINTS
เวิลด์อีโคโนมิกฟอรั่ม (WEF) เผยรายงานสำคัญล่าสุด “เทคโนโลยีควอนตัม: โอกาสสำคัญสำหรับการผลิตขั้นสูงและห่วงโซ่อุปทาน” (Quantum Technologies: Key Opportunities for Advanced Manufacturing and Supply Chains) ระบุว่าโลกอุตสาหกรรมกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ
ความสามารถด้านเทคโนโลยีขั้นสูงจะเป็นตัวแยกผู้ชนะออกจากผู้ตาม โดยเฉพาะเทคโนโลยีควอนตัมที่เริ่มเปลี่ยนบทบาทจากงานวิจัยเชิงทฤษฎีสู่การใช้งานจริงในธุรกิจการผลิตและโลจิสติกส์ทั่วโลก ทั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยง และสร้างระบบซัพพลายเชนที่ยืดหยุ่นกว่าเดิมมาก
โรงงานต้องตอบสนองการเปลี่ยนแปลงแบบทันทีทันใด สินค้ามีความเฉพาะตัวมากขึ้น วัดความสำเร็จจากความแม่นยำ ความรวดเร็ว และความยืดหยุ่น ไม่ใช่กำลังผลิตเพียงอย่างเดียว
ในมิติเทคโนโลยี ควอนตัมถูกวางให้เป็น “ตัวเร่งความได้เปรียบเชิงแข่งขัน” แทนที่ระบบคอมพิวเตอร์ดั้งเดิมที่เริ่มถึงขีดจำกัด ทั้งด้านคำนวณข้อมูลจำนวนมหาศาล การจำลองสถานการณ์ที่ซับซ้อน และการป้องกันข้อมูลในอนาคต องค์กรที่เริ่มต้นสร้างความพร้อมควอนตัมก่อนจะได้เปรียบเชิงโครงสร้าง ขณะที่การไล่ตามหลังในภายหลังอาจต้องเผชิญต้นทุนที่สูงกว่าและความเสี่ยงทางธุรกิจที่รุนแรงขึ้น
โดยเทคโนโลยีควอนตัมแบ่งออกเป็น 3 เสาหลัก ได้แก่ ควอนตัมคอมพิวติ้ง ที่ช่วยแก้โจทย์คำนวณระดับโมเลกุลและห่วงโซ่ซับซ้อน ควอนตัมเซ็นซิ่ง ที่ช่วยตรวจจับสัญญาณระดับนาโนเพื่อควบคุมคุณภาพ และควอนตัมซีเคียวริตี้ ที่สร้างมาตรฐานการเข้ารหัสข้อมูลใหม่เพื่อปกป้องโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในอนาคต
ตัวอย่างการใช้งานจริงสะท้อนชัดเจน เช่น Ford Otosan ใช้ควอนตัมช่วยวางแผนผลิตรถยนต์กว่า 1,500 รุ่นย่อย ลดเวลาคำนวณลงกว่าครึ่ง เพิ่มกำลังการผลิตเฉลี่ยหนึ่งคันต่อสิบชั่วโมง แสดงให้เห็นว่าการลงทุนด้านเทคโนโลยีไม่ได้เป็นเพียงการทดลอง แต่ส่งผลต่อผลลัพธ์ทางธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม TSMC ผู้นำเซมิคอนดักเตอร์โลกนำเซ็นเซอร์ควอนตัมมาใช้ยกระดับคุณภาพเวเฟอร์โดยไม่เพิ่มต้นทุน ขณะที่ท่าเรือรอตเตอร์ดัมใช้เทคนิค QKD เพื่อปกป้องข้อมูลโลจิสติกส์เชิงยุทธศาสตร์
นอกจากอุตสาหกรรมหลักแล้ว สถาบันวิจัยและบริษัทเทคโนโลยียังนำควอนตัมมาพัฒนาเรื่องวัสดุอากาศยานและชีวเวชภัณฑ์ เช่น Boeing ที่ใช้จำลองการกัดกร่อนโลหะเพื่อพัฒนาวัสดุแข็งแรงขึ้น ลดวงจรทดสอบ และ Moderna ที่ใช้ควอนตัมเร่งวิเคราะห์ mRNA เพื่อพัฒนายาและวัคซีน ภาพรวมนี้สะท้อนว่าเทคโนโลยีควอนตัมเริ่มเชื่อมโยงห่วงโซ่นวัตกรรมตั้งแต่ห้องทดลองจนถึงโรงงาน
WEF ระบุว่า การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคควอนตัมไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการพัฒนาบุคลากร การสร้างพันธมิตร การกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยยุคหลังควอนตัม และการใช้แพลตฟอร์มควอนตัมบนคลาวด์เพื่อลดภาระต้นทุนเริ่มต้น องค์กรที่เริ่มต้นวันนี้จะก้าวสู่ความพร้อมก่อนผู้อื่น และตั้งมาตรฐานใหม่ในโลกอุตสาหกรรม
WEF เตือนว่า บริษัทที่เลือก “รอให้เทคโนโลยีสุกงอม” อาจต้องเผชิญความเสี่ยงด้านต้นทุน ระบบต้านทานความเสี่ยงที่ด้อยกว่า และการตัดโอกาสแข่งขันในตลาดโลกยุคใหม่ ในขณะที่ผู้กล้าลงมือก่อนจะได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในระยะยาว ในโลกที่ความได้เปรียบไม่ได้วัดเพียงความเร็ว แต่คือความแม่นยำ ความโปร่งใส ความปลอดภัย และการตัดสินใจเชิงข้อมูลที่เหนือกว่า
นอกจากนี้ รายงานยังชี้ว่าเทคโนโลยีควอนตัมจะเข้ามาผสาน AI, IoT และระบบโรงงานอัตโนมัติในแนวคิด “โรงงานยุคควอนตัมช่วยตัดสินใจ” ซึ่งระบบจะสามารถคาดการณ์ความผิดปกติของเครื่องจักรแบบทันที ตรวจสอบคุณภาพสินค้าแบบเรียลไทม์ และวางแผนการผลิตอัตโนมัติที่ตอบสนองความต้องการตลาดได้อย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน ภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องเร่งนำมาตรการความมั่นคงไซเบอร์ยุคหลังควอนตัมมาใช้ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นเมื่อคอมพิวเตอร์ควอนตัมสามารถเจาะระบบเข้ารหัสดั้งเดิมได้ในอนาคต
รายงานยังระบุว่า แพลตฟอร์ม Quantum-as-a-Service ทำให้บริษัททุกขนาดเข้าถึงเทคโนโลยีควอนตัมได้ผ่านคลาวด์ ลดข้อจำกัดด้านเงินลงทุนและบุคลากร ขณะที่ความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน สถาบันวิจัย และมหาวิทยาลัยจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการสร้างแรงงานยุคใหม่ในสาขาวิทยาศาสตร์ข้อมูล ควอนตัม และระบบควบคุมอัตโนมัติ
สำหรับประเทศไทย การก้าวสู่ยุคควอนตัมมีความสำคัญกับอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง การบิน-อวกาศ โลจิสติกส์ และระบบผลิตอัจฉริยะ โดยเฉพาะพื้นที่ EEC ที่เป็นฐานผลิตสำคัญของภูมิภาค การเริ่มต้นทดลองใช้เทคโนโลยีควอนตัมในภาคอุตสาหกรรม และการสร้างบุคลากรด้านเทคโนโลยีล้ำหน้าจะช่วยยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของไทยในระยะยาว