KEY
POINTS
บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลประเภท Ride Sharing ทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์รับจ้างโดยสารสาธารณะ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในวิถีชีวิตของคนไทยตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากตอบโจทย์ด้านความสะดวกสบาย รวดเร็ว และราคาเข้าถึงได้
โดยข้อมูลจากบริษัทวิจัย Statista ประเมินว่าตลาดบริการเรียกรถโดยสารของไทยจะมีรายได้สูงถึง 1.36 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4.5 หมื่นล้านบาทในปี 2568 และขยายตัวต่อเนื่องแตะ 1.48 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2571 ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 2.14% อีกทั้งจำนวนผู้ใช้งานคาดว่าจะเพิ่มเป็น 15.16 ล้านคนภายในปี 2572 สะท้อนถึงศักยภาพและโอกาสการเติบโตของตลาดนี้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม การขยายตัวอย่างรวดเร็วของบริการ Ride Sharing ย่อมมาพร้อมความเสี่ยงและข้อกังวลหลายประการ ทั้งเรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสาร ความถูกต้องของการจดทะเบียนรถและใบอนุญาตขับขี่ ตลอดจนความเป็นธรรมด้านค่าโดยสาร และความไม่ชัดเจนของช่องทางร้องเรียนเมื่อเกิดปัญหา ปัจจัยเหล่านี้ได้บั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและสะท้อนว่าเพียงแค่การเติบโตเชิงปริมาณอาจไม่เพียงพอหากปราศจากมาตรการกำกับดูแลที่เหมาะสม
สาระสำคัญของประกาศฉบับนี้ คือ การกำหนดให้แพลตฟอร์มต้องทำหน้าที่กำกับดูแลและควบคุมการให้บริการในหลายมิติ เริ่มตั้งแต่การให้บริการโดยรถที่จดทะเบียนถูกต้องและคนขับต้องมีใบอนุญาตขับรถสาธารณะตามกฎหมาย การตรวจสอบและยืนยันตัวตนของทั้งไรเดอร์และผู้โดยสาร โดยหากเป็นการสมัครแบบไม่พบหน้า ต้องใช้ระบบ Digital ID ที่เชื่อถือได้ เช่น ThaID มาช่วยยืนยัน พร้อมทั้งมีการยืนยันตัวตนทุกครั้งก่อนเข้าใช้บริการ นอกจากนี้ข้อมูลที่แสดงต่อผู้โดยสารต้องโปร่งใสและครบถ้วน ทั้งชื่อและรูปถ่ายของไรเดอร์ เลขใบอนุญาต ข้อมูลรถ ตำแหน่ง GPS จุดรับ-ส่ง เส้นทาง เวลา และค่าโดยสาร
แพลตฟอร์มยังต้องจัดให้มีช่องทางร้องเรียนและการช่วยเหลือฉุกเฉิน รวมทั้งกลไกระงับข้อพิพาทที่เป็นธรรม ควบคู่กับมาตรการกำกับดูแลความปลอดภัย เช่น การห้ามใช้บัญชีแทนกัน การควบคุมพื้นที่ให้บริการ และการลงโทษผู้กระทำผิดซ้ำ ทั้งยังต้องจัดทำรายงานการดำเนินงานตามมาตรา 22 ต่อกรมการขนส่งทางบกและสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) อย่างต่อเนื่อง
ที่สำคัญห้ามเด็ดขาดคือการสวมรอยใช้บัญชีแทนกันหรือให้บริการนอกระบบ มิฉะนั้นอาจเสี่ยงถูกระงับบัญชีและดำเนินคดีตามกฎหมาย กระนั้นก็ตาม ประกาศฉบับนี้ยังมอบสิทธิประโยชน์แก่ไรเดอร์ ทั้งการสร้างความน่าเชื่อถือในการให้บริการ การเลือกปฏิเสธงานที่ไม่เหมาะสมได้ และการเข้าถึงช่องทางขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
ด้านผู้โดยสารซึ่งเป็นกลุ่มผู้ใช้บริการโดยตรงจะได้รับผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุดจากการบังคับใช้ประกาศฉบับนี้ โดยจะได้ใช้บริการที่ปลอดภัยขึ้น สามารถตรวจสอบตัวตนไรเดอร์ได้ชัดเจน รับบริการจากรถที่จดทะเบียนและคนขับที่มีใบอนุญาตสาธารณะ
ขณะเดียวกันการเดินทางยังโปร่งใสมากขึ้นด้วยค่าโดยสารที่แสดงล่วงหน้าและการติดตามเส้นทางแบบเรียลไทม์ผ่าน GPS อีกทั้งยังมีระบบร้องเรียนและกลไกระงับข้อพิพาทหากเกิดปัญหา ซึ่งข้อมูลการเดินทางทั้งหมดจะถูกบันทึกไว้เป็นหลักฐานเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้โดยสาร
ด้าน นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้ริเริ่มโครงการส่งเสริมให้คนขับจดทะเบียนรถรับจ้างสาธารณะผ่านแอปมาตั้งแต่ปี 2565 โดยผลักดันให้คนขับ GrabCar และ GrabBike ปฏิบัติตามข้อกำหนดของกรมการขนส่งทางบกและประกาศ คธอ. โดยเฉพาะการทำใบขับขี่สาธารณะ พร้อมจัดกิจกรรมกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเปิดรอบพิเศษให้ยื่นเอกสาร ตรวจประวัติอาชญากรรม เข้าอบรมและสอบข้อเขียน รวมถึงการจัดเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำในจังหวัดที่มีผู้ขับจำนวนมาก เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี และขอนแก่น อีกทั้งยังมอบอินเซนทีฟสูงสุดถึง 7,000 บาทเพื่อจูงใจเข้าร่วมโครงการ
แม้ปัจจุบันคนขับจำนวนไม่น้อยมีใบขับขี่สาธารณะแล้ว แต่การนำรถไปจดทะเบียน รย.18 ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ เนื่องจากเงื่อนไขการครอบครองรถที่ต้องเป็นชื่อผู้ขับเท่านั้น ขณะที่คนขับหลายรายยังติดไฟแนนซ์หรือเช่ารถจากบริษัทปล่อยเช่า ซึ่งทำให้ไม่สามารถดำเนินการจดทะเบียนได้ หากมีการผ่อนปรนเงื่อนไขเหล่านี้จะช่วยให้คนขับเข้าสู่ระบบได้มากขึ้น และยังเป็นการส่งเสริมการสร้างอาชีพอย่างยั่งยืน