ฟูจิตสึดัน Modernization-Data & AI ตอบโจทย์ไทยแลนด์ 4.0

11 ก.ย. 2568 | 09:35 น.
อัปเดตล่าสุด :11 ก.ย. 2568 | 09:35 น.

ฟูจิตสึชี้เทคโนโลยี Modernization-Data & AI กุญแจความคล่องตัวทางธุรกิจ แนะบริษัทญี่ปุ่นในไทยเร่งปรับตัวสู่ดิจิทัล ตอบโจทย์ไทยแลนด์ 4.0

KEY

POINTS

  • ฟูจิตสึนำเสนอโซลูชัน Modernization และ Data & AI เพื่อช่วยให้บริษัทญี่ปุ่นในไทยปรับตัวเข้ากับยุค Thailand 4.0 ที่เน้นนวัตกรรมและความเร็ว
  • กลยุทธ์นี้มุ่งแก้ปัญหาหลักของบริษัทญี่ปุ่น คือ การสร้างสมดุลระหว่างการตัดสินใจที่รวดเร็วกับคุณภาพ และการจัดการองค์ความรู้ในภาวะที่พนักงานมีอัตราการลาออกสูง
  • โซลูชันดังกล่าวช่วยยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน IT ที่ล้าสมัย และส่งเสริมการใช้ AI เป็น "เพื่อนคู่คิด" ของมนุษย์ เพื่อเร่งการตัดสินใจและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

นางสาวกนกกมล เลาหบูรณะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การที่ไทยกำลังก้าวสู่ยุค Thailand 4.0 ซึ่งเน้นนวัตกรรมและการสร้างมูลค่าเพิ่ม ได้สร้างความท้าทายครั้งใหญ่ให้กับบริษัทญี่ปุ่น 

ทั้งนี้ ความท้าทายดังกล่าว คือ การเร่งกระบวนการตัดสินใจของผู้บริหารให้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น พร้อมกับการยกระดับความเป็นเลิศในการประเมินความเสี่ยง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์การทำงานสไตล์ญี่ปุ่น ขณะที่โอกาสในการเปลี่ยนผ่านกำลังลดน้อยลง บริษัทที่ปรับตัวช้าจะเผชิญความเสี่ยงในการเสียเปรียบทางการแข่งขันอย่างมีนัยสำคัญ 

ดังนั้น การนำแนวคิด Modernization และ Data & AI มาใช้ จึงไม่ใช่เพียงแค่ทางเลือก แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญ ที่ออกแบบมาเพื่อเสริมจุดแข็งด้านคุณภาพและความรอบคอบของบริษัทญี่ปุ่น ควบคู่ไปกับการสร้างความเร็วในการดำเนินงาน ซึ่งเป็นปัจจัยที่จำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในอนาคต

สำหรับความท้าทายหลักของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย คือ การรักษาสมดุลระหว่างการตัดสินใจของผู้บริหารที่รวดเร็วและแม่นยำ ควบคู่ไปกับการรักษาคุณค่าทางวัฒนธรรมองค์กร ท่ามกลางตลาดที่มีความผันผวนสูงความเร็ว จึงกลายเป็นตัวแปรชี้ขาดความสำเร็จในปัจจุบัน บริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งที่สร้างรากฐานการผลิตในไทยมานานหลายทศวรรษ กำลังเผชิญกับโครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ที่ล้าสมัย ซึ่งนับเป็นโอกาสอันดีในการยกระดับองค์กรครั้งใหญ่

ความท้าทายดังกล่าวนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย โดยเฉพาะภายใต้วิสัยทัศน์ Thailand 4.0 ที่เน้นนวัตกรรมที่รวดเร็ว ซึ่งอาจขัดแย้งกับแนวทางปฏิบัติแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม นอกจากนี้ อัตราการหมุนเวียนของแรงงานไทยที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้การเก็บเกี่ยวองค์ความรู้เป็นระบบผ่าน Data & AI กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นเร่งด่วน

"ความท้าทายไม่ใช่เพียงแค่ความเร็วแต่เป็นการรักษาสมดุลระหว่าง ความเร็วกับคุณภาพการตัดสินใจ ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทญี่ปุ่น ท่ามกลางตลาดที่ผันผวนรุนแรงจากปัจจัยภายนอกนี่เป็นจุดที่ Modernization และ Data & AI จะเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนเชิงกลยุทธ์"

บริษัทญี่ปุ่นกำลังใช้ Modernization และ Data & AI เป็นตัวเร่งยกระดับโครงสร้างพื้นฐานเดิม สู่ระบบที่สนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหารให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ฟูจิตสึ ประเทศไทย ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างความเป็นเลิศทางธุรกิจแบบญี่ปุ่นกับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของตลาดไทย 

โดยได้ประเมินและพัฒนาเครื่องมือ เพื่อการเปลี่ยนผ่าน ช่วยให้องค์กรเปลี่ยนจาก การบำรุงรักษาเชิงรับ สู่ปฏิบัติการเชิงรุก ยิ่งไปกว่านั้น โมเดล Modernization และ Data & AI ของฟูจิตสึในประเทศไทย กำลังกลายเป็นมาตรฐานสากล ซึ่งนวัตกรรมเหล่านี้ อาจมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ไทยก้าวสู่การเป็น ศูนย์กลางการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้

ความกลัวว่า AI จะเข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์ มักทำให้บริษัทญี่ปุ่นเกิดอาการลังเลในการตัดสินใจ และยังคงใช้กระบวนการแบบ Manual ในขณะที่คู่แข่งก้าวล้ำไปแล้วด้วยความเร็วและประสิทธิภาพ ฟูจิตสึจึงเสนอแนวคิด Human Sovereignty AI โดยกำหนดให้ AI เป็นเพื่อนคู่คิดของมนุษย์ในการตัดสินใจ ด้วยหลักการสำคัญ 3 ข้อ ได้แก่ AI ที่ลูกค้าสามารถควบคุมได้ ความสมดุลระหว่างต้นทุน ความแม่นยำ และความปลอดภัย รวมถึงการสร้างมูลค่าที่เน้นธุรกิจเป็นหลัก

นายจุน ฮาชิโมโต รองประธาน และหัวหน้าทีมฝ่ายขาย กลุ่มธุรกิจญี่ปุ่นบริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "การสนับสนุนบริษัทญี่ปุ่นให้ก้าวข้ามความลังเลด้านเทคโนโลยี พร้อมกับการพัฒนาบุคลากร ถือเป็นการสนับสนุนเป้าหมายทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยกำหนดให้ AI เป็น เพื่อนคู่คิด ในการตัดสินใจของมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งทดแทน แนวทางนี้ช่วยให้บริษัทญี่ปุ่นรักษาค่านิยมองค์กร พร้อมสร้างความได้เปรียบด้านความเร็วที่จำเป็นสำหรับการแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพ"

กรณีศึกษาทางธุรกิจที่น่าสนใจ คือ บริษัทผู้ผลิตแห่งหนึ่งที่บริหารจัดการชิ้นส่วน 2 ล้านชิ้น จาก 3,000 ซัพพลายเออร์ ประสบความสำเร็จภายในเวลาเพียง 2 เดือน ด้วยโมเดลการพยากรณ์ที่ครอบคลุมชิ้นส่วน 1.5 ล้านชิ้น ด้วยความแม่นยำถึง 90% ซึ่งสามารถลดสินค้าคงคลังได้ถึง 2 พันล้านเยนต่อปี และกระจายองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญทั่วทั้งองค์กร

นายฮาชิโมโต กล่าวอีกว่า การปรับเปลี่ยนดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า Modernization และ Data & AI สามารถแปลงความรู้ในตัวบุคคล ให้เป็นสินทรัพย์องค์กร ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ในสภาพแวดล้อมที่มีอัตราการหมุนเวียนสูงอย่างในประเทศไทย การกระจายความรู้ดังกล่าวจึงกลายเป็นความได้เปรียบในการแข่งขันที่สำคัญ และยังช่วยสนับสนุนเป้าหมายด้านทุนมนุษย์ของ Thailand 4.0 อย่างยิ่งอีกด้วย

จากการทำงานร่วมกับบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย การนำ Modernization และ Data & AI มาใช้ ส่งผลสำคัญ 2 ประการ คือ การเร่งการตัดสินใจสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดดเร็ว แต่ยังคงความรอบคอบ และเข้าถึงข้อมูลวิเคราะห์ได้ทันที และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สามารถเก็บเกี่ยวองค์ความรู้ขององค์กรในสภาพแวดล้อมที่พนักงานหมุนเวียนสูงในประเทศไทย เพื่อความต่อเนื่องทางธุรกิจ

 อัตราการหมุนเวียนแรงงานที่สูงในไทย ทำให้การถ่ายทอดความรู้แบบญี่ปุ่นดั้งเดิมไม่เพียงพออีกต่อไป การเก็บเกี่ยวองค์ความรู้เป็นระบบผ่าน Data & AI ขั้นสูง จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน

จากประสบการณ์ในการช่วยบริษัทญี่ปุ่นเปลี่ยนผ่าน ฟูจิตสึ ประเทศไทย แนะนำให้เริ่มต้นจากความเป็นเลิศแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบ เน้นการรวมระบบมากกว่าการเปลี่ยนระบบทั้งหมด และการลงทุนในบุคลากรควบคู่กับเทคโนโลยี เพื่อให้คงไว้ซึ่งค่านิยมญี่ปุ่น และพร้อมสร้างขีดความสามารถใหม่

เมื่อประเทศไทยเร่งบรรลุเป้าหมาย Thailand 4.0 ภายในปี 2573 การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ไม่สามารถมองข้ามได้ บริษัทที่ชะลอการปรับตัว เสี่ยงสูญเสียความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างถาวร ในสภาพแวดล้อมธุรกิจไทยที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความเสี่ยงสูงสุดไม่ใช่การทำที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นการล่าช้า จนคู่แข่งก้าวไปไกลเกินเอื้อม บริษัทที่กล้าเปลี่ยนผ่านในวันนี้ จะเป็นผู้นำการพัฒนาธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีส่วนร่วมในวาระดิจิทัลระดับชาติของไทยอีกด้วย