กนอ.-ส.อ.ท.รุกลงทุนอุตฯเป้าหมาย ดัน Local Content สู้การค้าโลก

11 ก.ย. 2568 | 00:29 น.

กนอ.-ส.อ.ท.รุกยกระดับการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย เดินหน้าตั้งแซนด์บล็อกซ์ดัน Local Content สู้ศึกการค้าโลก

KEY

POINTS

  • กนอ. และ ส.อ.ท. ร่วมมือกันเร่งรัดการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve & New S-Curve) เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและนวัตกรรมของภูมิภาค
  • ส่งเสริมการเพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content) และพัฒนาศักยภาพ SMEs ให้เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลก เพื่อรับมือมาตรการกีดกันทางการค้า
  • สร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุน โดยพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ (Smart Industrial Estate) ปรับปรุงกฎระเบียบ และยกระดับมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory)

นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการยกระดับและเร่งรัดการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อผลักดันให้เป็น New Growth Engine ของประเทศ และนำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจไทยโดยรวม

โดยผ่านการดำเนินการร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมถึงเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ซึ่ง กนอ.มุ่งขับเคลื่อนนิคมอุตสาหกรรมสู่การเป็น Smart Industrial Estate ผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และส่งเสริมการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยกับบริษัทชั้นนำระดับโลก เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เข้มแข็ง 

ทั้งนี้ กนอ. มีความพร้อมด้านพื้นที่ โครงสร้างพื้นฐาน และการอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน  ขณะที่ ส.อ.ท. เป็นตัวแทนภาคอุตสาหกรรมที่ใกล้ชิดและมีความเข้าใจในความต้องการของผู้ประกอบการ โดยความร่วมมือดังกล่าวอยู่ภายใต้นโยบาย NOW Thailand ของ กนอ. และนโยบาย One FTI ของ ส.อ.ท. จะทำให้สามารถผลักดันการลงทุนได้อย่างเป็นรูปธรรม เกิดเป็นนโยบายและมาตรการที่ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง

“เชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้อุตสาหกรรมเป้าหมายเติบโตอย่างมั่นคง และนำพาประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและนวัตกรรมของภูมิภาค พร้อมกับการเติบโตที่สมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม”  

กนอ.-ส.อ.ท.รุกลงทุนอุตฯเป้าหมาย ดัน Local Content สู้การค้าโลก

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ก็มีโอกาสสำคัญจากการไหลเข้าของเงินลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม S-Curve และ New S-Curve 

ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ระบุว่า มูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 6 เดือนแรกปี 2568 สูงถึง 1.058 ล้านล้านบาท เติบโต 138% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

การที่นักลงทุนจะตัดสินใจเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตนั้น ต้องพิจารณาปัจจัยสำคัญรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นทำเลยุทธศาสตร์ โครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับเทคโนโลยีขั้นสูง พื้นที่ใกล้กับแหล่งวัตถุดิบ ตลาด และท่าเรือเพื่อความพร้อมสำหรับการส่งออก ซึ่งทั้งหมดนี้ ชี้ให้เห็นว่าพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม คือ หัวใจสำคัญในการดึงดูดการลงทุน 

อย่างไรก็ดี พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดการลงทุน เนื่องจากมีความพร้อมทั้งด้านทำเล โครงสร้างพื้นฐาน และระบบนิเวศการผลิต (Ecosystem) ที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมสมัยใหม่ อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แบตเตอรี่ Data Center เกษตรและชีวภาพขั้นสูง รวมถึง Climate Tech 

ส.อ.ท.จึงมุ่งผลักดันให้เกิดการยกระดับอุตสาหกรรมจากอุตสาหกรรมเดิม (First Industries) สู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next-Gen Industries) ซึ่งประกอบไปด้วย S-Curve & New S-Curve  รวมทั้ง BCG และ Climate Change ซึ่งเป็นนโยบายที่ไปในทิศทางเดียวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมของโลก และนโยบายของภาครัฐ

“ส.อ.ท. จะดำเนินการร่วมกับ กนอ. ทั้งเรื่องการประสานงานกับสมาชิกส.อ.ท. เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม การรวบรวมความเห็นจากภาคเอกชนเพื่อร่วมพัฒนากฎระเบียบให้เอื้อต่อการทำธุรกิจ รวมทั้งการส่งเสริมให้สมาชิกใช้บริการศูนย์บริการเบ็ดเสร็จครบวงจร หรือ One Stop Service ของ กนอ. และที่สำคัญที่สุด คือ การผลักดันมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) ให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับสากล เพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุน และผลักดันอุตสาหกรรมไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน” 

แม้ว่าไทยตอนนี้จะยังเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนอยู่ รวมถึงกระแสย้ายฐานการลงทุนยังอยู่ แต่เพื่อนบ้านแซงไทยเกือบหมด ทำขีดความสามารถการแข่งขันร่วงมาอยู่อันดับ 6 ของอาเซียน ดังนั้น หากไม่ปรับตัวจะถูกโลกปรับออก

นายเกรียงไกรกล่าวอีกว่า เพื่อรับมือกับความท้าทายดังกล่าว ทั้งสององค์กรจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้าง Ecosystem ที่เหมาะสม โดยออกแบบอุตสาหกรรมใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของโลก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมดิจิทัล เกษตรสมัยใหม่ และธุรกิจที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน, ออกแบบพื้นที่เฉพาะทาง (Special Zones) เสนอให้มีการจัดตั้งเขตพิเศษหรือ Sandbox เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ และสนับสนุนการเพิ่มสัดส่วน Local Content เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการกีดกันการค้า 

อีกทั้งจะต้องดูแล SMEs ไทย โดยพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้สามารถเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานระดับโลกได้อย่างเข้มแข็ง และพัฒนาบุคลากร โดยจัดหลักสูตร Upskill, Reskill และ Culture Skill เพื่อเตรียมความพร้อมด้านแรงงานให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมใหม่ และรองรับความต้องการของนักลงทุน

"แม้ประเทศไทยจะมีการวางแผนที่ดี แต่ความท้าทายอยู่ที่การนำแผนไปปฏิบัติจริงอย่างรวดเร็ว และต่อเนื่อง โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกให้นักลงทุน และการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ เพื่อให้ไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางการลงทุนที่น่าสนใจในภูมิภาคอย่างยั่งยืน"

สำหรับขอบข่ายความร่วมมือหลัก 4 ด้าน ประกอบด้วย 

  • การเร่งรัดการลงทุน ด้วยการร่วมกันจัดทำแนวทางและแผนสร้างแรงจูงใจ เพื่อรองรับการย้ายฐานการผลิตและปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม 
  • ความร่วมมือทางวิชาการและข้อมูล แลกเปลี่ยนข้อมูลภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม เพื่อใช้กำหนดนโยบายและสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน 
  • การพัฒนากฎหมายและกฎระเบียบ เพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ โดย กนอ. จะสนับสนุนการใช้บริการแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร (One Stop Service) และ "ทางด่วน" การลงทุน (Investment Fast Track)
  •  การส่งเสริมความยั่งยืน ด้วยการร่วมกันยกระดับผู้ประกอบการด้วยมาตรฐาน "โรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory)" ตั้งแต่การพัฒนาเกณฑ์มาตรฐาน การให้การรับรอง การพัฒนาบุคลากร ไปจนถึงการมอบสิทธิประโยชน์และจัดพิธีมอบรางวัล