เวทีเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum: WEF) เปิดรายงาน 10 เทคโนโลยีเกิดใหม่แห่งปี 2025 ที่กำลังข้ามจุดเปลี่ยนจากห้องวิจัยสู่การเปลี่ยนโลกจริง โดยเน้นเทคโนโลยีที่พร้อมส่งผลกระทบในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ทั้งด้านพลังงาน สุขภาพ ความยั่งยืน และความเชื่อมั่นในโลกดิจิทัล โดยรายงานนี้เผยแพร่ในงานประชุม Annual Meeting of the New Champions หรือ “Summer Davos” ที่จีนเมื่อเร็วๆ นี้ พร้อมชี้ 4 แนวโน้มใหญ่ที่ต้องจับตาในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก
รายงานระบุว่า เทคโนโลยีปี 2025 ถูกคัดเลือกจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ความแปลกใหม่ พัฒนาการของเทคโนโลยี และศักยภาพในการสร้างประโยชน์ต่อสังคมอย่างเป็นรูปธรรม โดย 4 เทรนด์หลักที่ครอบคลุมเทคโนโลยีทั้ง 10 รายการ ได้แก่ ความเชื่อมั่นและความปลอดภัยในโลกที่เชื่อมต่อกัน เทคโนโลยีชีวภาพยุคใหม่เพื่อสุขภาพ การออกแบบระบบอุตสาหกรรมใหม่เพื่อความยั่งยืน และการบูรณาการพลังงานกับวัสดุ ซึ่งทั้งหมดสะท้อนแนวโน้มใหญ่ของ “การบรรจบกันของเทคโนโลยี” เช่น การผสาน AI กับระบบชีวภาพ หรือวัสดุนวัตกรรมที่ช่วยขับเคลื่อนพลังงานสะอาด
เทคโนโลยีแรกที่น่าจับตาคือ “แบตเตอรี่โครงสร้าง” (Structural Battery Composites) ซึ่งเป็นวัสดุที่ทั้งรับน้ำหนักและเก็บพลังงานไฟฟ้าได้ในตัว เช่น คาร์บอนไฟเบอร์หรือเรซิน หากใช้งานได้จริง จะช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าและเครื่องบินมีน้ำหนักเบาลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ยังต้องผ่านด่านความปลอดภัยก่อนใช้งานจริงในวงกว้าง
ถัดมาคือ “ระบบผลิตไฟฟ้าจากแรงดันออสโมซิส” (Osmotic Power Systems) ที่ใช้หลักต่างระดับความเค็มของน้ำ 2 แหล่งเพื่อผลิตพลังงานหมุนเวียนแบบไร้คาร์บอน แม้แนวคิดมีมาตั้งแต่ปี 1975 แต่เทคโนโลยีวัสดุใหม่ทำให้เข้าใกล้การใช้งานจริงยิ่งขึ้น โดยมี 2 แนวทางหลัก ได้แก่ Pressure Retarded Osmosis และ Reverse Electrodialysis ที่ต่างใช้เยื่อบางควบคุมการเคลื่อนที่ของน้ำหรือไอออนเพื่อสร้างพลังงาน
เทคโนโลยีนิวเคลียร์ก็กำลังกลับมาอย่างน่าสนใจ รายงานพูดถึง “เทคโนโลยีนิวเคลียร์ยุคใหม่” (Advanced Nuclear Technologies) ที่มีเป้าหมายลดต้นทุนและเพิ่มความปลอดภัย ทั้งการพัฒนาเครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็ก (SMRs) และการมุ่งสู่ปฏิกิริยาฟิวชัน ซึ่งหากทำได้จริง จะเปลี่ยนสมการพลังงานโลกอย่างสิ้นเชิง
ในมิติสุขภาพ “เทคโนโลยีชีวภาพรักษาโรคจากภายใน” (Engineered Living Therapeutics) เปิดมุมใหม่ของการใช้จุลินทรีย์ที่ถูกตัดแต่งพันธุกรรมให้ผลิตยาในร่างกายมนุษย์โดยตรง เช่น ในผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลินเป็นประจำ ระบบนี้จะช่วยผลิตอินซูลินเองอย่างต่อเนื่อง ลดต้นทุนการผลิตยาได้ถึง 70% และลดความถี่ในการรักษา
ขณะเดียวกัน “ยารุ่นใหม่ GLP-1” (GLP-1s for Neurodegenerative Disease) ซึ่งเคยใช้รักษาโรคเบาหวานและโรคอ้วน กำลังถูกศึกษาว่าสามารถช่วยโรคสมองเสื่อม เช่น อัลไซเมอร์ และพาร์กินสันได้ เพราะช่วยลดการอักเสบและขจัดโปรตีนพิษในสมอง หากพัฒนาได้จริงจะสร้างผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างมาก เนื่องจากทั่วโลกมีผู้ป่วยสมองเสื่อมกว่า 55 ล้านคน
อีกเทคโนโลยีที่มาแรงคือ “อุปกรณ์ตรวจจับชีวเคมีอัตโนมัติ” (Autonomous Biochemical Sensing) ที่สามารถตรวจวัดสารชีวภาพได้แบบเรียลไทม์ เช่น มลพิษในน้ำ หรือระดับฮอร์โมนในร่างกาย โดยไม่ต้องพึ่งห้องแล็บ ตัวอย่างที่เริ่มใช้งานแล้วคืออุปกรณ์ตรวจน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และมีแนวโน้มขยายสู่ด้านอื่น เช่น ความปลอดภัยอาหารหรือการดูแลวัยทอง
ในภาคเกษตรกรรม รายงานชู “การตรึงไนโตรเจนแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” (Green Nitrogen Fixation) ที่พัฒนาวิธีผลิตปุ๋ยโดยใช้แสงอาทิตย์หรือพลังงานสะอาด แทนกระบวนการเดิมที่ใช้พลังงานโลกถึง 2% เพื่อผลิตแอมโมเนีย รองรับความต้องการอาหารของประชากรโลกถึงครึ่งหนึ่ง
อีกหนึ่งนวัตกรรมคือ “นาโนไซม์” (Nanozymes) วัสดุนาโนที่เลียนแบบเอนไซม์แต่ผลิตง่าย ทนทาน และต้นทุนต่ำกว่า สามารถนำไปใช้ในการบำบัดน้ำเสีย ความปลอดภัยด้านอาหาร และแม้กระทั่งการรักษามะเร็งหรือโรคสมองเสื่อม โดยอยู่ระหว่างการทดลองทางคลินิก แม้ยังมีข้อกังวลเชิงจริยธรรมและเทคนิคบางประการ
เทคโนโลยี “การรับรู้ร่วมกัน” (Collaborative Sensing) ก็เปิดโลกใหม่ให้กับการจัดการข้อมูลแบบเครือข่าย เช่น การเชื่อมต่อกล้องจราจรกับเซนเซอร์สภาพอากาศเพื่อควบคุมสัญญาณไฟจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดมลพิษ และแก้รถติด นอกจากนี้ยังใช้ในเหมือง การพยากรณ์พายุ และการวางแผนผังเมืองได้
ปิดท้ายด้วย “ระบบฝังลายน้ำในคอนเทนต์ AI” (Generative Watermarking) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีฝังรหัสที่มองไม่เห็นในภาพหรือวิดีโอที่ผลิตโดย AI เพื่อป้องกันการปลอมแปลงและช่วยให้ผู้ใช้แยกแยะว่าอะไรคือของจริงหรือของปลอม แม้ยังมีข้อท้าทาย เช่น การพยายามลบลายน้ำหรือการตีตราผิดพลาด แต่หลายบริษัทเทคโนโลยีเริ่มนำไปใช้มากขึ้น
ทั้งหมดนี้คือภาพรวมของเทคโนโลยีที่กำลังจะมีบทบาทต่อชีวิตจริงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ไม่ว่าจะในฐานะเครื่องมือเปลี่ยนโลกธุรกิจใหม่ หรือเป็นพลังขับเคลื่อนความยั่งยืนให้สังคมโลกเดินหน้าอย่างมีความหวังในยุคที่ความท้าทายใหญ่ไม่สามารถแก้ไขด้วยเครื่องมือเก่าๆ ได้อีกต่อไป