ภายหลังกระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ให้ความเห็นชอบ 3 กลุ่มธุรกิจจัดตั้ง ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา หรือ Virtual Bank เพื่อยกระดับบริการทางการเงินดิจิทัลในประเทศ ประกอบด้วย - บริษัท เอซีเอ็ม โฮลดิ้ง จำกัด (ในเครือ แอสเซนด์ มันนี่ Ascend Money – ผู้ให้บริการ TrueMoney) , กลุ่มธนาคารกรุงไทย ร่วมกับ AIS และ OR (ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก) และ กลุ่ม SCBX ร่วมกับ WeTechnology และ KakaoBank จากเกาหลีใต้
ทั้งนี้“ฐานเศรษฐกิจ”ขอพาไปดูความพร้อม และศักยภาพของผู้ให้บริการทั้ง 3 ราย
แอสเซนด์ มันนี่ (Ascend Money) ผู้นำในการพัฒนาแอปพลิเคชัน TrueMoney ซึ่งมี ฐานลูกค้ากว่า 34 ล้านคน ทั่วประเทศ ได้รับใบอนุญาต Virtual Bank จาก ธนาคารแห่งประเทศไทย ในนามของ บริษัท เอซีเอ็ม โฮลดิ้ง จำกัด ถือเป็นการยกระดับการเข้าถึงบริการทางการเงินในประเทศไทยให้สะดวกและทันสมัยยิ่งขึ้น โดย TrueMoney สามารถเชื่อมต่อผู้ใช้งานที่ไม่เคยได้รับบริการจากธนาคารแบบดั้งเดิม เช่น เกษตรกร และ ธุรกิจขนาดกลางและย่อม (MSMEs) ผ่าน สินเชื่อ และ ประกันภัย ที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยี AI และ Data Analytics
การใช้ AI ในการประเมินความเสี่ยงและการให้บริการทางการเงินที่มีความรับผิดชอบ (Responsible Lending) ช่วยให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้อย่างง่ายดายและปลอดภัย โดยแอสเซนด์ มันนี่ได้สร้างโมเดลธุรกิจที่ตอบโจทย์กลุ่ม Unserved และ Underserved ที่ไม่เคยได้รับการบริการจากธนาคารดั้งเดิม
โดยนายธัญญพงศ์ ธรรมาวรานุคุปต์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บริษัท แอสเซนด์ มันนี่ จำกัด กล่าวว่า แอสเซนด์ มันนี่ จะเปิดตัวบริษัทและเวอร์ชวลแบงก์ (Virtual Bank) ที่ดำเนินการภายใต้กฏเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอย่างเคร่งครัด โดยบริษัทฯ จะยึดหลักความยั่งยืน โปร่งใส และตรวจสอบได้ตลอดกระบวนการ โดยรายละเอียดของผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ จะมีการเปิดตัวและนำเสนออย่างเป็นทางการต่อไป
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แอสเซนด์ มันนี่ ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการขยายการเข้าถึงทางการเงิน โดยพัฒนาหนึ่งในแอปพลิเคชันการเงินดิจิทัลที่เข้าถึงง่ายที่สุดในภูมิภาคอย่าง ทรูมันนี่ (TrueMoney) ซึ่งปัจจุบันให้บริการแก่ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนกว่า 34 ล้านคนทั่วประเทศ โดยทรูมันนี่ยังเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อผู้คนจำนวนมากเข้ากับเศรษฐกิจดิจิทัล ผ่านบริการใช้จ่าย ออม ลงทุน การบริหารจัดการค่าใช้จ่าย และการสร้างหลักประกันเพื่ออนาคต
ตัวเลขที่เห็นได้ชัดคือ ลูกค้าสินเชื่อของ แอสเซนด์ มันนี่ มากกว่า 50% ได้รับการอนุมัติสินเชื่อเป็นครั้งแรกกับบริษัทฯ ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากระบบการเงินแบบเดิมได้ แต่ด้วยการที่ แอสเซนด์ มันนี่ พัฒนาโมเดลสินเชื่อที่นำเทคโนโลยี AI และข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) มาใช้ ก็ได้ทำให้พวกเขาเหล่านี้ ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบอาชีพอิสระ เจ้าของธุรกิจรายย่อย และเกษตรกร สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่จำเป็นผ่านการให้บริการสินเชื่อที่มีความรับผิดชอบ (Responsible lending)
นอกจากนี้ ในช่วงปีที่ผ่านมาเพียงปีเดียว แอสเซนด์ มันนี่ ได้ออกกรมธรรม์ประกันภัยเบี้ยน้อย จ่ายสบาย เป็นจำนวนเกือบ 1 ล้านฉบับ เพื่อช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยจำนวนมากซึ่งไม่เคยเข้าถึงผลิตภัณฑ์ด้านประกันมาก่อน สามารถสร้างความมั่นคงให้ชีวิตตัวเองได้ ยิ่งไปกว่านั้นลูกค้านักลงทุนในกองทุนรวมที่มีกว่า 70% ยังเป็นผู้ที่เริ่มลงทุนเป็นครั้งแรก แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของ แอสเซนด์ มันนี่ ในการขยายการเข้าถึงเครื่องมือการเงินที่สร้างความมั่นคงในชีวิตให้ผู้คน
เป็นกลุ่มที่ศักยภาพด้านเงินทุน ครอบคลุมธุรกิจบริการการเงิน โทรคมนาคม และค้าปลีก มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ และ เครือข่ายการให้บริการที่ครอบคลุม ทั่วประเทศในการขับเคลื่อนบริการ Virtual Bank โดย ธนาคารกรุงไทย มีฐานลูกค้าผ่าน เป๋าตัง มากกว่า 50 ล้านคน, AIS มีลูกค้า 45.6 ล้านราย จากมือถือ และ 4.5 ล้านราย จากบริการอินเทอร์เน็ตบ้าน, และ OR มีฐานสมาชิก Blueplus กว่า 8 ล้านคน
กลยุทธ์ของกลุ่มนี้คือการใช้ ช่องทางการบริการ ที่ครอบคลุมและ เครือข่ายที่เชื่อมโยง ทั่วประเทศ เช่น การใช้ สถานีบริการน้ำมัน และ ร้านกาแฟอเมซอน ของ OR ทำให้ Virtual Bank กลุ่มนี้สามารถเข้าถึงผู้ใช้บริการในทุกพื้นที่ และสร้างความสะดวกในการเข้าถึงบริการการเงิน
นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า “AIS เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างทั้งสามบริษัทในครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันธุรกิจ Virtual Bank ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยอาศัยจุดแข็งของแต่ละองค์กรที่ครอบคลุมทั้งระบบการเงิน โทรคมนาคม และค้าปลีก ซึ่งล้วนมีบทบาทในการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล เทคโนโลยี และเครือข่ายช่องทางบริการที่แข็งแกร่งทั่วประเทศ สำหรับ AIS ซึ่งมีฐานลูกค้ารวมกว่า 50 ล้านราย เราจึงเชื่อมั่นว่าเรามีความเข้าใจในความต้องการของลูกค้า และเราจะสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ได้ตอบโจทย์ทุกกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นการยกระดับการเข้าถึงบริการทางการเงินที่ครอบคลุม และเข้าถึงง่าย ถือเป็นภารกิจสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัลแห่งอนาคตของประเทศ
กลุ่มนี้ประกอบด้วย SCBX (ธนาคารไทยพาณิชย์) ร่วมกับ WeTechnology หรือ We Bank จากประเทศจีน และ KakaoBank จากเกาหลีใต้ ซึ่งนำประสบการณ์จากตลาดการเงินดิจิทัลระดับโลกมาปรับใช้ในประเทศไทย We Bank มีผู้ใช้บริการ 362 ล้านบัญชี และ KakaoBank ที่สามารถดึงดูดลูกค้า 1 ล้านราย ภายใน 5 วัน หลังจากเปิดตัวบริการ
การใช้เทคโนโลยี AI, Big Data และ Cloud Computing ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม Virtual Bank ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย พร้อมทั้งการมี ฐานลูกค้าขนาดใหญ่ จากทั้งในประเทศและต่างประเทศ
Virtual Bank จาก 3 กลุ่มหลัก นี้เป็นการเปิดยุคใหม่ของระบบการเงินในประเทศไทย โดยทุกกลุ่มมี ศักยภาพ ที่โดดเด่นในการขับเคลื่อนการเข้าถึงบริการทางการเงินให้กับผู้คนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น ผู้ที่ไม่เคยได้รับบริการจากธนาคารแบบเดิม หรือ ธุรกิจขนาดย่อม ที่ต้องการโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนและบริการการเงินที่สะดวกและปลอดภัย
ในท้ายที่สุด Virtual Bank จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วย ยกระดับคุณภาพชีวิต ของคนไทยและช่วย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ในอนาคต โดยการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและฐานลูกค้าขนาดใหญ่ของผู้ให้บริการเหล่านี้ ทำให้บริการทางการเงินในประเทศไทยสามารถ เข้าถึงได้ง่าย, รวดเร็ว และ เท่าเทียม มากขึ้นในยุคดิจิทัล