ผอ. NIA คนใหม่ เดิน 7 กลยุทธ์เร่งปั้นไทยสู่ “ผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม”

24 ก.ค. 2566 | 08:37 น.

"เอ็นไอเอ" เร่งปั้นไทยสู่ชาตินวัตกรรมผ่านบทบาทใหม่ “ผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม” เดินหน้า 7 กลยุทธ์ เสริมแกร่ง “รัฐ เอกชน เอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ และโครงสร้างพื้นฐาน” พร้อมกระจายลงทุนสู่ภูมิภาค

ดร. กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ ผอ. NIA คนใหม่ เปิดเผยว่า ในปี 2566 นโยบายการใช้นวัตกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศได้ถูกพูดถึงและกำหนดบทบาทอย่างชัดเจน เพื่อนำประเทศไปสู่การแข่งขันระดับมหภาคได้อีกครั้ง โดยการขับเคลื่อนดังกล่าว NIA เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่มีบทบาททั้งในเชิงผู้กำหนดนโยบาย การอำนวยความสะดวกให้ระบบนิเวศนวัตกรรมเอื้อต่อศักยภาพการทำงาน การสร้างมูลค่าทางธุรกิจ

ผอ. NIA คนใหม่ เดิน 7 กลยุทธ์เร่งปั้นไทยสู่ “ผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม”

รวมทั้งการรังสรรค์นวัตกรรมในกลุ่มผู้ประกอบการ สตาร์ทอัพ และภาครัฐ นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายสำคัญที่จะเร่งผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่ 1 ใน 30 ของประเทศผู้นำด้านนวัตกรรมโลกภายในปี 2573

NIA ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ ภายใต้แนวคิด Create the Dot - Connect the Dot - Value Creation ผ่านกลไก Groom Grant Growth และแนวทาง “2 ลด 3 เพิ่ม” ได้แก่ ลดความเหลื่อมล้ำ ด้วยการมุ่งเน้นนวัตกรรมแบบเปิดผ่านการเปิดรับแนวคิดใหม่จากสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอี เพื่อเติมเต็มจุดอ่อนหรือปัญหาด้านสังคมและเศรษฐกิจให้มากขึ้น ลดอุปสรรคการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมให้กับทุกภาคส่วน

และแก้ไขกฎระเบียบที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโต เพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชน เพิ่มจำนวนนวัตกรและผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม เพื่อให้เกิดการจ้างงาน การเพิ่มขึ้นของ GDP และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ “ชาตินวัตกรรม” รวมถึงเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม ให้มีโอกาสขยายตลาด และสร้างแบรนด์นวัตกรรมสัญชาติไทยที่พร้อมแข่งขันกับนวัตกรรมจากต่างประเทศ”

ผอ. NIA คนใหม่ เดิน 7 กลยุทธ์เร่งปั้นไทยสู่ “ผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม”

สำหรับในปี 2566 – 2570 NIA ได้เปลี่ยนบทบาทจากสะพานเชื่อมสู่การเป็น “ผู้กำหนดทิศทางนวัตกรรม (Focal Conductor)” ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งบทบาทใหม่ที่จะดำเนินงานภายใต้ 7 กลยุทธ์ ได้แก่ 1) สร้างและยกระดับผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม (IBEs) ในอุตสาหกรรมเป้าหมายร่วมกับเครือข่ายตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อพัฒนาและขยายผลโครงการสำคัญใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ 1) Food Tech & Ag Tech 2) Travel Tech 3) Med Tech 4) Climate Tech และ 5) Soft power โดยส่งเสริม IBEs ให้คุ้มครองและบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาในสินค้าและบริการนวัตกรรม รวมทั้งใช้ NIA Academy เป็นกลไกหลักในการพัฒนา IBEs ผ่านหลักสูตรที่เข้มข้น และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก  โดยมีเป้าหมายใน 4 ปี คือ จำนวนผู้ประกอบการฐานนวัตกรรม 10,000 ราย บุคลากรและกำลังคนด้านนวัตกรรม 15,000 ราย และมูลค่าผลกระทบที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมเป้าหมายและพื้นที่ 20,000 ล้านบาท

2) ส่งเสริมนวัตกรรมแบบเปิดและทำให้ระบบนวัตกรรมไทยเปิดกว้างมากขึ้น โดยเน้นการให้ทุนที่เปิดกว้างและเชื่อมโยงกับแหล่งเงินทุนอื่นๆ การให้ทุนรายสาขาอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับภูมิภาค การเสริมสร้างสมรรถนะการขอทุนและการจัดทำข้อเสนอโครงการร่วมกับเครือข่ายนวัตกรรม เพื่อกระจายโอกาสการเข้าถึงแหล่งทุนในภูมิภาค การลดกระบวนการและเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินในโครงการให้ทุน การใช้คูปองนวัตกรรมเพื่อให้ทุนได้รวดเร็วขึ้น รวมทั้งเชื่อมโยงแหล่งเงินทุนไม่ว่าจากธนาคารของรัฐหรือแหล่งทุนอื่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายใน 4 ปี คือ เงินทุนและกองทุนสนับสนุนนวัตกรรมที่ NIA บริหารจัดการ 2,000 ล้านบาท โครงการและธุรกิจนวัตกรรมที่ได้รับการสนับสนุน 1,500 โครงการ มูลค่าการลงทุนที่เกิดขึ้นในธุรกิจนวัตกรรม 2,000 ล้านบาท ความคุ้มค่าและผลกระทบของเงินทุนสนับสนุนนวัตกรรม 5 เท่า และสร้างกลไกสนับสนุนรูปแบบใหม่ 3 กลไก

3) ส่งเสริมการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมร่วมกับมหาวิทยาลัยและอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค การพัฒนาย่านนวัตกรรม เมืองนวัตกรรม และระเบียงนวัตกรรมในภูมิภาค โดยการทำงานอย่างใกล้ชิดกับอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคและผู้ว่าราชการแต่ละจังหวัดเพื่อจัดตั้งคณะกรรมการด้านนวัตกรรมเหมือนที่ดำเนินการสำเร็จแล้วในจังหวัดพัทลุงและเชียงใหม่ และการสร้างเครือข่ายนวัตกรรมในพื้นที่ชายแดน โดยร่วมมือกับหน่วยงานภายใต้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวง อว. รวมทั้ง DEPA CEA เพื่อเพิ่มพื้นที่จังหวัดนวัตกรรมให้ครอบคลุมและเพียงพอต่อการสร้างผลลัพธ์และผลกระทบในแต่ละภูมิภาค โดยมีเป้าหมายใน 4 ปี คือ IBEs เข้ามามีส่วนร่วมกว่า 3,000 ราย ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานด้านนวัตกรรมใน 40 มหาวิทยาลัย และ 16 อุทยานฯ เกิดการลงทุนนวัตกรรมในภูมิภาค 20,000 ล้านบาท อันดับดัชนีนวัตกรรมเมืองปรับขึ้น 5 อันดับ จังหวัดศูนย์กลางพัฒนานวัตกรรม 12 จังหวัด ย่านนวัตกรรม 12 ย่าน และสำนักงานภูมิภาค 3 แห่ง

4) เป็นศูนย์กลางการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมที่เอื้อต่อการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เชื่อมโยงการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมสนับสนุน IBEs ทั้งทางด้านการเงินและมิติอื่น โดยเน้นการใช้นวัตกรรมเพื่อสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม สร้างเครือข่ายการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ การสร้างพื้นที่สนับสนุนสตาร์ทอัพเหมือนกับ Station F ของสาธารณรัฐฝรั่งเศส การจัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับระบบนวัตกรรมไทย การจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและผลักดันกฎหมายที่ส่งเสริมระบบนวัตกรรมไทยให้เข้มแข็ง เช่น นโยบายด้านการเงินและภาษีที่สนับสนุนธุรกิจนวัตกรรม IP Tax Redeem  รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการติดตาม เชื่อมโยง และประสานงานทั้งในประเทศและต่างประเทศในการยกระดับนวัตกรรมของประเทศไทย โดยอาศัยกลไกการทูตนวัตกรรม (Innovation Diplomacy) ที่มีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน การยกอันดับประเทศไทยในดัชนีนวัตกรรมโลก GII ของ WIPO จากอันดับที่ 43 ในปี 2565 เป็นอันดับที่ 30 ในปี 2573 โดยมีเป้าหมายใน 4 ปี คือ เครือข่ายข้อมูลนวัตกรรมที่เชื่อมโยงสู่ระบบ 15 เครือข่าย จำนวนผู้ใช้บริการ 50,000 ราย ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 5 ข้อ และนวัตกรรมเชิงนโยบาย/ภาครัฐ 30 นวัตกรรม

5) ส่งเสริมการตลาดนวัตกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศให้กับผลิตภัณฑ์และบริการของผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมในลักษณะของ Business Brotherhood ให้บริษัทขนาดใหญ่มาสนับสนุนการขยายธุรกิจของ IBEs  รวมทั้งการส่งเสริม IBEs ให้รู้จักการสร้างแบรนด์ การตลาดผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ โดยขยายความร่วมมือในลักษณะที่มีกับ Shopee ในโครงการ InnoMall กับแพลตฟอร์มอื่น เช่น TikTok และ Line รวมถึงจัดทำแค็ตตาล็อกสินค้านวัตกรรมในรูปแบบภาษาไทยและอังกฤษ การขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ร่วมกับหน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายใน 4 ปี คือ จำนวน IBEs ที่เข้าร่วมโครงการ 1,000 ราย และมูลค่าเติบโตจากตลาดในประเทศและต่างประเทศ 1,000 ล้านบาท

6) สร้างความตระหนักและการรับรู้ความสำคัญของนวัตกรรมในทุกภาคส่วน ผ่านโครงการ Innovation Thailand การจัดประกวดรางวัลนวัตกรรม งาน SITE งาน Ubon Art Fest เพื่อสร้างแนวร่วมในการขับเคลื่อนระบบนวัตกรรมไทย โดยมีเป้าหมายใน 4 ปี คือ จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้ง online และ onsite ไม่น้อยกว่า 50,000 ราย จำนวนผู้เข้าชม Content Online ไม่น้อยกว่า 2,000,000 ครั้ง

7) พัฒนาองค์กรไปสู่องค์กรที่พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างยั่งยืน เน้นทำงานแบบ Cross Functional ลดขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยากซับซ้อน สนับสนุนการปรับหมุนเวียนงาน (Job Rotation) ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีการใช้ Project-based Management และกำหนดเป้าหมายเพื่อวัดผลสำเร็จ (OKR) ที่ชัดเจนและสอดคล้องกันทั้งองค์กร การบริหารงานบุคลากรที่เป็นระบบ โปร่งใส และเป็นธรรม เน้นการทำงานเป็นทีมเพื่อมุ่งสู่พันธกิจขององค์กร พร้อมทั้งน้อมนำแนวความคิดเศรษฐกิจพอเพียงและหลัก ESG มาใช้ในการดำเนินงาน