12 เทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ มาแรงแห่งปี 2565

04 ม.ค. 2565 | 05:49 น.

การ์ทเนอร์ อิงค์ เผย 12 เทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์มาแรง แนะองค์กรธุรกิจต้องจับตาดูและศึกษาเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในปี 2565

นายเดวิด กรูมบริดจ์ นักวิจัยอาวุโสของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ความมุ่งมั่นของ ซีอีโอและบอร์ดบริหารที่ต้องการสร้างการเติบโตแก่องค์กรผ่านการเชื่อมต่อเทคโนโลยีดิจิทัลต่างๆ ร่วมกับลูกค้าโดยตรงเป็นภารกิจสำคัญของผู้บริหารด้านไอทีที่ต้องวางแผนและดำเนินการให้ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งสามารถพิจารณาและปรับใช้แต่ละแนวโน้มเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ที่มาแรงในปี 2565 ของการ์ทเนอร์ได้”

 

ผู้บริหารไอทีต้องหาตัวคูณที่เป็นกำลังสนับสนุนด้านไอทีเพื่อสร้างการเติบโตแก่องค์กรและสร้างสรรค์นวัตกรรมตลอดจนสร้างรากฐานทางเทคนิคที่มีความยืดหยุ่น ปรับขนาด และสร้างสภาพคล่องทางการเงินในด้านการลงทุนดิจิทัลได้ ส่งผลให้เกิดเทรนด์เทคโนโลยีเป็น 3 ธีมหลักๆ ได้แก่ : ความน่าเชื่อถือทางวิศวกรรม (Engineering trust) การเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปร่าง (Sculpting change) และการเติบโตอย่างเร่งด่วน (Accelerating growth)”

แนวโน้มเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์มาแรงแห่งปี 2565 ได้แก่

 

1.กำเนิดใหม่ปัญญาประดิษฐ์ [Generative Artificial Intelligence (AI)]

 

หนึ่งในเทคนิคของการพัฒนา AI ที่เป็นที่รู้จักและมีประสิทธิภาพมากที่สุดและกำลังเข้าสู่ตลาดคือ Generative AI ซึ่งเป็นแมชชีนเลิร์นนิ่งที่เรียนรู้เกี่ยวกับคอนเทนท์หรือ Data Object และใช้เพื่อสร้างนวัตกรรมรวมถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่เป็นต้นฉบับและมีความเสมือนจริง

 

Generative AI สามารถใช้กับกิจกรรมต่างๆ อาทิ การสร้างโค้ดซอฟต์แวร์เร่งกระบวนการพัฒนายาและการทำตลาดที่เน้นกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ(Targeted Marketing) อย่างไรก็ดียัง พบว่ามีการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้อย่างไม่เหมาะสม เช่น ใช้เพื่อละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาผู้อื่น ปลอมแปลงข้อมูลประจำตัว หลอกลวง ฉ้อโกง บิดเบือนข้อมูลทางการเมือง และอื่นๆ การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2568 เทคโนโลยี Generative AI จะมีสัดส่วนเป็น 10% ของข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับการผลิตขึ้นมาสูงกว่าปัจจุบันที่มีปริมาณน้อยกว่า 1%

 

12 เทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ มาแรงแห่งปี 2565

2.โครงข่ายข้อมูล [Data Fabric] 

 

จำนวนข้อมูลและแอพพลิเคชันแบบไซโลเพิ่มขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ขณะที่จำนวนบุคลากรที่มีทักษะในด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ (Data and Analytics - D&A) กลับคงที่หรือลดลง

 

Data Fabric ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการรวมข้อมูลที่ยืดหยุ่นและรองรับการทำงานระหว่างแพลตฟอร์มและระหว่างธุรกิจได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อทำให้โครงสร้างพื้นฐานในการรวมข้อมูลขององค์กรง่ายขึ้น และสร้างสถาปัตยกรรมที่พร้อมสำหรับการขยายขนาดซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาสะสมทางเทคนิคที่เกิดขึ้น หรือที่เราเรียกกันว่า “หนี้ทางเทคนิค”  (Technical Debt) ซึ่งพบบ่อยในทีม D&A โดยปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความท้าทายในการรวมข้อมูลที่เพิ่มขึ้นเข้าด้วยกัน

 

ประสิทธิภาพที่แท้จริงของ Data Fabric คือความสามารถในการปรับปรุงการใช้ข้อมูลแบบไดนามิกด้วยการวิเคราะห์ภายในตัวมันเอง ลดความซับซ้อนในการจัดการข้อมูลได้มากถึง 70% ซึ่งช่วยให้ใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่า

 

3.องค์กรแบบกระจาย [Distributed Enterprise]

 

ด้วยปัจจุบันรูปแบบการทำงานระยะไกลและไฮบริดที่เพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกันกับองค์กรที่เคยเน้นการทำงานในออฟฟิศเป็นศูนย์กลางก็ปรับตัวไปสู่องค์กรแบบกระจาย (Distributed Enterprise) ที่รองรับรูปแบบการทำงานที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และเปิดโอกาสให้พนักงานสามารถทำงานได้จากทั้งในออฟฟิศและนอกสถานที่

 

กรูมบริดจ์ กล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ผู้บริหารไอทีต้อง ปรับเปลี่ยนเทคนิคและการบริการที่สำคัญเพื่อมอบประสบการณ์การทำงานที่ราบรื่น อย่างไรก็ดีเหรียญมักมีสองด้านเสมอเพราะรูปแบบการทำงานดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อโมเดลธุรกิจ ไม่ว่าจะองค์กรใด ตั้งแต่กลุ่มค้าปลีกไปจนถึงกลุ่มองค์กรทางด้านการศึกษาที่จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์และสร้างประสบการณ์ใหม่เพื่อรองรับการทำงานในรูปแบบกระจายเช่นนี้ เพราะคนทั้งโลกไม่เคยมีใครคาดมาก่อนว่าภายในช่วงเวลาแค่สองปีเราต้องเปลี่ยนการไปลองเสื้อผ้าที่ร้านไปเป็นการลองผ่านระบบดิจิทัลแทน”

 

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2566 องค์กร 75% ที่ใช้ประโยชน์จากการสร้างประสบการณ์ทำงานในรูปแบบกระจายจะมีรายได้เร็วเติบโตไวกว่าคู่แข่ง 25%

 

4.แพลตฟอร์ม Cloud-Native (CNPs)

 

เพื่อนำเสนอความสามารถด้านดิจิทัลได้อย่างแท้จริงจากทุกที่ องค์กรจำเป็นต้องทิ้งกลยุทธ์การถ่ายโอนการทำงานแบบเดิม “ยกและเปลี่ยนใหม่” ไปสู่ CNP โดยการปรับใช้ CNP นั้นจะใช้ความสามารถหลักของคลาวด์คอมพิวติ้งเพื่อสร้างบริการในรูปแบบ “As A Service” ซึ่งจะเพิ่มความสามารถแก่ระบบไอทีให้มีความยืดหยุ่นและรองรับการปรับขยายให้แก่บริษัทเทคโนโลยีที่ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต รวมทั้งเพิ่มมูลค่าจากการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการไปยังตลาดและผู้บริโภคได้รวดเร็วกว่า ขณะที่ลดต้นทุนไปพร้อมกัน

 

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2568 แพลตฟอร์ม Cloud-Native จะทำหน้าที่เป็นเทคโนโลยีหลักที่เป็นรากฐานสำหรับการสร้างนวัตกรรมหรือเครื่องมือดิจิทัลใหม่ๆ มากถึง 95% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่น้อยกว่า 40% ในปี 2564

 

5.ระบบอัตโนมัติขั้นกว่า (Autonomic Systems)

 

เมื่อองค์กรเติบโตขึ้น การเขียนโปรแกรมแบบดั้งเดิมหรือใช้ระบบอัตโนมัติแบบเก่าอาจไม่ตอบโจทย์ Autonomic Systems เป็นระบบทางกายภาพหรือระบบซอฟต์แวร์ที่สามารถจัดการและเรียนรู้สภาพแวดล้อมของการใช้งานได้ด้วยตนเอง จะต่างจากระบบอัตโนมัติทั่วๆ ไป หรือระบบอัติโนมัติที่ไม่ต้องอาศัยมนุษย์ควบคุม (Autonomous System) โดย Autonomic Systems สามารถปรับเปลี่ยนอัลกอริธึมของตัวเองได้แบบไดนามิก ไม่ต้องอัปเดตซอฟต์แวร์ภายนอก ทำให้สามารถปรับให้เข้ากับเงื่อนไขหรือการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ในรูปแบบเดียวกับที่มนุษย์สามารถทำได้

 

 “ระบบ Autonomic ได้ถูกปรับใช้กันแพร่หลายในปัจจุบันตามสภาพแวดล้อมการรักษาความปลอดภัยที่ซับซ้อน แต่ในระยะยาวระบบนี้จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นทั่วไปในแบบที่จับต้องได้ เช่น หุ่นยนต์ โดรน เครื่องจักรที่ใช้ในภาคการผลิต และพื้นที่อัจฉริยะ” กรูมบริดจ์ กล่าว

 

6.การตัดสินใจอัจฉริยะ [Decision Intelligence (DI)]

 

ความสามารถในการตัดสินใจขององค์กรมีความจำเป็นมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นทรัพยากรเชิงกลยุทธ์สำคัญที่สามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้องค์กรได้ 

 

โซลูชันที่เพิ่มความสามารถในการตัดสินใจได้อัจฉริยะ (Decision Intelligence) เป็นแนวทางปฏิบัติที่นำไปใช้ได้จริงเพื่อเพิ่มความสามารถในการตัดสินใจโดยการทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ รวมทั้งการออกแบบวิธีการตัดสินใจ และประเมินผลลัพธ์ จัดการ และปรับปรุงจากคำติชมได้ การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าในอีก 2 ปีข้างหน้า หนึ่งในสามขององค์กรขนาดใหญ่จะใช้การตัดสินใจอัจฉริยะเป็นโครงสร้างในการตัดสินใจเพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน

 

7.แอพพลิเคชั่นแบบประกอบแยกส่วน (Composable Applications)

 

ในบริบทของทางธุรกิจที่เปลี่ยน แปลงอย่างต่อเนื่อง ความต้องการในการปรับตัวทางธุรกิจจะนำองค์กรไปสู่สถาปัตยกรรมเทคโนโลยีที่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการพัฒนาแอพพลิเคชันที่เน้นความรวดเร็ว ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งสถาปัตยกรรมแอพพลิเคชั่นแบบประกอบแยกส่วน (หรือ Composable application architecture) ได้ช่วยเสริมความสามารถให้กับการปรับตัวดังกล่าว และธุรกิจที่ใช้ปรับใช้แนวทางดังกล่าวจะนำหน้าคู่แข่งถึง 80% ในด้านความเร็วของการนำเสนอฟีเจอร์ใหม่ๆ แก่ผู้บริโภค

 

 “ตลอดช่วงการระบาดที่สร้างความปั่นป่วน หลักการทางธุรกิจที่ยืด หยุ่นจะช่วยให้องค์กรสามารถรับมือต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้ ซึ่งจำเป็นต่อความยืดหยุ่นและการเติบโตของธุรกิจ หากไม่มีสิ่งนี้ องค์กรสมัยใหม่เสี่ยงที่จะสูญเสียโมเมนตัมของตลาดและความภักดีของลูกค้าไป” กรูมบริดจ์ กล่าว

 

8.เครื่องมืออัตโนมัติแบบยิ่งยวด[Hyperautomation]  

 

Hyperautomation ช่วยเร่งเครื่องให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็วและยืดหยุ่นด้วยความสามารถในการแปลผลลัพธ์ เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบอย่างรวดเร็ว และทำให้กระบวนการต่างๆ เป็นไปโดยอัตโนมัติให้ได้มากที่สุด

 

 “งานวิจัยของการ์ทเนอร์ชี้ให้เห็นว่าทีม Hyperautomation ที่มีประสิทธิภาพสูงให้ความสำคัญกับสามประเด็นหลัก: ได้แก่ 1. การปรับปรุงคุณภาพงาน 2. การเร่งกระบวนการทางธุรกิจ และ 3. การเพิ่มความคล่องตัวในการตัดสินใจ ขณะเดียวกัน ยังพบว่ามีนักเทคโนโลยีทางธุรกิจสนับสนุนความคิดริเริ่มในด้านระบบอัตโนมัติโดยเฉลี่ย 4.2 โครงการ ในปีที่ผ่านมา” กรูมบริดจ์ กล่าว

 

9.เพิ่มประสิทธิภาพประมวลผลความเป็นส่วนตัว [Privacy-Enhancing Computation (PEC)] 

 

เนื่องจากการประกาศใช้กฎหมายด้านความเป็นส่วนตัวและการปกป้องข้อมูลระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่ต้องรักษาความไว้วางใจของลูกค้าที่อาจเกิดจากความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว โดยการ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า 60% ขององค์กรขนาดใหญ่จะใช้เทคนิคการประมวลผลข้อมูลเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวอย่างน้อยหนึ่งเทคนิคภายในปี 2568

 

PEC เป็นเทคนิคการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อน ครอบคลุมการปกป้องตั้งแต่ระดับข้อมูลซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ การแบ่งปัน การรวบรวม และการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างปลอดภัยขณะที่ยังคงปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัว ปัจจุบันมีการปรับใช้เทคนิคดังกล่าวแล้วในหลายองค์กรจากอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันไปเช่นเดียวกับโครงสร้างพื้นฐานพับบลิกคลาวด์ (อาทิ สภาพแวดล้อมการดำเนินการที่เชื่อถือได้)

 

10.ตาข่ายความปลอดภัยไซเบอร์ [Cybersecurity Mesh]

 

กรูมบริดจ์ กล่าวว่า “ในปีนี้นอกจากปริมาณดาต้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดาต้ายังเป็นเทรนด์ที่ถูกพูดถึงกันตลอดทั้งปี แต่ดาต้าจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อองค์กรต่างๆ สามารถนำข้อมูลไปใช้งานได้อย่างถูกต้องและแม่นยำเท่านั้น วันนี้สินทรัพย์และผู้ใช้กระจายตัวอยู่ทุกหนแห่ง หมายความว่าเราไม่สามารถใช้การรักษาความปลอดภัยในรูปแบบเดิมๆได้อีกต่อไป จึงต้องอาศัยสถาปัตยกรรมที่ป้องกันและจัดการภัยคุกคามทางไซเบอร์ในรูปแบบตาข่ายหรือ Cybersecurity Mesh Architecture (CSMA)”

 

CSMA ช่วยเตรียมโครงสร้างและแนวทางการรักษาความปลอดภัยแบบบูรณาการเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับทรัพย์สินทั้งหมด โดยไม่คำนึงถึงแหล่งของสินทรัพย์ ภายในปี 2567 องค์กร ต่างๆ ที่นำ CSMA มาใช้บูรณาการเครื่องมือและระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆ เพื่อให้สามารถทำงานเป็นระบบนิเวศแบบมีส่วนร่วมจะช่วยลดผลกระทบทางการเงินจากเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยส่วนบุคคลได้เฉลี่ยถึง 90%

 

11.ปัญญาประดิษฐ์ทางวิศวกรรม [AI Engineering]

 

ผู้นำด้านไอทีติดปัญหาในการผสานรวมระบบ AI เข้ากับแอพพลิเคชัน ทำให้เสียเวลาและเงินไปกับโครงการ AI ที่ไม่เคยนำไปสู่การผลิต หรือการพยายามรักษาคุณภาพของโซลูชัน AI เมื่อเปิดตัวซึ่ง AI Engineering เป็นแนวทางแบบบูรณาการสำหรับการดำเนินงานโมเดล AI ในรูปแบบต่างๆ

 

กรูมบริดจ์ กล่าวว่า “สำหรับทีมฟิวชั่นที่ทำงานด้าน AI ตัวสร้างความ ต่างที่แท้จริงสำหรับองค์กรพวกเขาก็คือความสามารถในการเพิ่มมูลค่าได้อย่างต่อเนื่องผ่านการเปลี่ยนแปลงของระบบ AI อย่างรวดเร็ว ภายในปี 2568 จะพบว่า 10% ขององค์กรที่สร้างแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านวิศวกรรม AI จะสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างน้อยสามเท่าจากความพยายามปรับใช้ AI หรือมากกว่า 90% ขององค์กรที่ไม่ได้ทำ”

 

12.ประสบการณ์เต็มรูปแบบ [Total Experience (TX)]

 

เป็นกลยุทธ์ธุรกิจที่ผสมผสานประสบการณ์ลูกค้า (CX) ประสบการณ์พนักงาน (EX) ประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) และประสบการณ์หลากหลาย (Multiexperience - MX) เข้าด้วยกัน เป้าหมายของกลยุทธ์ TX คือการสร้างความมั่นใจ ความพึงพอใจ ความภักดี และการสนับสนุนมากขึ้นจากลูกค้าและพนักงานที่พึงพอใจกับประสบการณ์ที่ได้รับการยกระดับ ขณะเดียวกันองค์กรต่างๆ สามารถเพิ่มรายได้และสร้างผลกำไรจากการบรรลุประสิทธิผลทางธุรกิจของ TX ที่ปรับตัวและยืดหยุ่น

 

หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,745 หน้า 19 วันที่ 2 - 5 มกราคม 2565