zero-carbon

DHL ทุ่ม 7 พันล้านยูโร พุ่งสู่แถวหน้าองค์กรธุรกิจโลจิสติกส์รักษ์โลก

DHL ทุ่ม 7,000 ล้านยูโร หรือเกือบ 3 แสนล้านบาท มุ่งหน้าเป็นองค์กรลดการปล่อยคาร์บอน 30% ในปี 2030 และมุ่งเป้าหมายสุทธิเป็นศูนย์ (Zero Carbon) ในปี 2050 ย้ำต้องลงทุนตอนนี้ เพราะ “ช้ากว่านี้ก็สายไปแล้ว”

 

นายเฮอร์เบิร์ต วงศ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเอชแอล เอ็กซ์เพรส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวในงาน PostToday Thailand Economic Drive 2024 ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจ 2567 วันนี้ (12 ก.พ.) ในประเด็น “ความยั่งยืนกับโอกาสทางธุรกิจ”  โดยระบุว่า บริษัท ดีเอชแอล เอ็กซ์เพรส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เป็นส่วนหนึ่งของ DHL Group ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงบอนน์ ประเทศเยอรมนี

บริษัทดำเนินนโยบายพัฒนาองค์กรด้วยแนวคิด ESG (ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) เป็นสำคัญ) มาเป็นเวลา 2-3 ปีแล้ว ทั้งนี้ ยอมรับว่า บริษัทที่ทำธุรกิจด้านโลจิสติกส์การขนส่งและกระจายสินค้านั้น เป็นธุรกิจที่สร้างคาร์บอนอย่างมากมายมหาศาล บริษัทจึงมุ่งมั่นตั้งเป้าเป็นองค์กร Clean Logistics คือองค์กรขนส่งกระจายสินค้าอย่างรักษ์โลกและสิ่งแวดล้อม บริษัทตั้งเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนในระยะกลางคือ ลด 30% ภายในปีค.ศ.2030 และจากนั้นระยะยาวคือปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Zero Carbon) ที่ปี 2050

เพื่อการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ตั้งเป้าหมายลงทุน 7,000 ล้านยูโร หรือเกือบ 3 แสนล้านบาทสำหรับการมุ่งสู่เป้าหมายในระยะกลาง ซึ่งสิ่งที่ดีเอชแอลทำแล้วและยังคงทำอยู่อย่างต่อเนื่อง มี 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่

  1. การปรับเปลี่ยนการใช้เชื้อเพลิงเครื่องบินเป็น clean fuel หรือเชื้อเพลิงสะอาด เนื่องจากบริษัทมีฝูงบินสำหรับการขนส่งสินค้าไปทั่วโลก ทำให้ที่ผ่านมาธุรกิจโลจิสติกส์เป็นธุรกิจที่ถูกมองว่าปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นจำนวนมาก บริษัทจึงตั้งเป้าหมายเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงชนิดใหม่ที่เรียกว่า เชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน ( Sustainable Aviation Fuel หรือ SAF) ที่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ แต่ปัญหาที่ประสบอยู่ในปัจจุบันคือ เชื้อเพลิงชนิดนี้ ยังมีต้นทุนการผลิตสูง ราคาจึงแพงกว่าเชื้อเพลิงอากาศยานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน 1.5 ถึง 2 เท่าตัว
  2. รถจักรยานยนต์และรถยนต์ที่บริษัทใช้ในการขนส่งกระจายสินค้าและพัสดุในภาคพื้นดิน จะเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั้งนี้ ตั้งเป้าต้องการให้การขนส่งของดีเอชแอลทั่วโลกเกินกว่า 60% เป็นการใช้พลังงานไฟฟ้า (EV)
  3. อาคาร Service Center ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งในปัจจุบันศูนย์กระจายสินค้าในประเทศไทยทุกแห่งของดีเอชแอลได้ใช้ระบบพลังงานจากแสงอาทิตย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นายเฮอร์เบิร์ต วงศ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเอชแอล เอ็กซ์เพรส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด

“ทุกเดือนเราจะมีแดชบอร์ดดูปริมาณการลดการปล่อยคาร์บอนทั้งของดีเอชแอลในประเทศไทย เปรียบเทียบกับสาขาอื่นๆที่กระจายอยู่ทั่วโลกด้วย”

นายเฮอร์เบิร์ตยังกล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องของการลงทุนเพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายด้าน ESG และการเป็นองค์กรลดคารบอนให้ได้ตามเป้าหมายนั้น แม้จะต้องลงทุนมากมายมหาศาลแต่ก็ถือเป็นเรื่องจำเป็น เพราะหากเรายึดมั่นในแนวคิดที่ว่า “One World. One Choice” ก็ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะเรามีโลกอยู่ใบเดียว ถ้าไม่ลงทุนเริ่มเดินหน้าสู่เป้าหมาย Zero Carbon ในตอนนี้ ภายภาคหน้าจะมาลงทุนทีหลังก็ถือสายไปแล้ว เขายังมองด้วยว่า ทั้งซัพพลายเชน (ห่วงโซ่การผลิต) ทุกภาคส่วนควรต้องร่วมมือกัน

โดยเขากล่าวว่า การทำธุรกิจประกอบด้วย 3 ส่วนที่สำคัญ  ส่วนแรกเป็นเรื่องของทรัพยากรน้ำ ไฟฟ้า และพลังงานเชื้อเพลิง ส่วนที่สองคือขั้นตอนการผลิต ที่นำทรัพยากรเหล่านี้มาใช้เพื่อการผลิตสินค้าและบริการ ส่วนที่สามคือการขนส่งสินค้าและบริการนั้นออกไปยังเป้าหมายหรือลูกค้า ซึ่งในส่วนของดีเอชแอลนั้นรับผิดชอบส่วนที่สามทั้งหมดให้กับธุรกิจจำนวนมาก จึงเป็นหน้าที่ของบริษัทที่จะต้องลงทุนและทำแนวคิดเรื่องความยั่งยืนให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมให้ได้