"บีซีพีจี"อัดงบ 1.4 หมื่นล.ปี 67 ดัน EBITDA โต 30%

17 พ.ย. 2566 | 07:20 น.
อัปเดตล่าสุด :17 พ.ย. 2566 | 07:21 น.

"บีซีพีจี"อัดงบ 1.4 หมื่นล.ปี 67 ดัน EBITDA โต 30% เผย 8,000 ล้านบาทใช้ในการพัฒนาโครงการที่อยู่ในพอร์ตให้แล้วเสร็จตามแผนที่วางไว้ และ 6,000 ล้านบาทเป็นการลงทุนในโครงการใหม่

นายนิวัติ อดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 67 บริษัทฯ ตั้งเป้าการลงทุนไว้ที่ประมาณ 14,000 ล้านบาท โดย 60% หรือประมาณ 8,000 ล้านบาท ใช้ในการพัฒนาโครงการต่างๆ ที่อยู่ในพอร์ตให้แล้วเสร็จตามแผนที่วางไว้ 

ส่วนอีก 40% หรือประมาณ 6,000 ล้านบาท สำหรับการลงทุนในโครงการใหม่ โดยทิศทางการดำเนินงาน บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างความแข็งแกร่งและความเติบโตของธุรกิจหลัก (Core Business) โดยในปี 2567 บริษัทฯ คาดว่า EBITDA จะเติบโต 30%

ทั้งนี้ ปี 67 จะมุ่งเน้นลงทุนใหม่ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศที่บริษัทฯ มีฟุตพริ้นท์อยู่แล้ว และเป็นประเทศที่รัฐบาลให้การสนับสนุน อีกทั้งยังศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าสู่ธุรกิจที่เป็น New S Curve เช่น ธุรกิจกักเก็บพลังงานทั้งสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงสำหรับโรงงานหรือนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ต้องการใช้ไฟฟ้าสีเขียว และธุรกิจการบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ

"บีซีพีจี"อัดงบ 1.4 หมื่นล.ปี 67 ดัน EBITDA โต 30%  

สำหรับธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ บริษัทฯ ได้มีการต่อยอดการใช้งานระบบกักเก็บพลังงานสำหรับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ประเภทวานาเดียมรีดอกซ์โฟลว์ในประเทศไทย โดยการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานดังกล่าว ให้กับสถานีไฟฟ้าย่อยของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เพื่อเพิ่มเสถียรภาพให้กับระบบสายส่ง-สายจำหน่ายของ กฟภ. ในพื้นที่ห่างไกล 

"ปัจจุบันบริษัทฯ ได้รับอนุมัติให้เริ่มดำเนินการในโครงการนำร่องดังกล่าว ในเขตพื้นที่ อำเภอ นาแห้ว จังหวัดเลย โดยคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ ภายปี 2567 โดยถือเป็นจุดเริ่มต้นในการขยายตลาดในประเทศไทยหลังจากที่บริษัทฯ ได้ร่วมลงทุนในบริษัท วีอาร์บีเอ็นเนอยี่ ซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องการผลิตและจำหน่ายระบบกักเก็บพลังงานระดับโลก ซึ่งมีตลาดใหญ่อยู่ในประเทศจีน"

นายนิวัติ กล่าวอีกว่า ในปี 73 หรือ อีก 7 ปีข้างหน้า บีซีพีจีมีแผนการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายระยะยาวใน 3 ด้าน ได้แก่ มีรายได้สุทธิจากการลงทุน 3,000 ล้านบาท รวมถึงมีกำลังการผลิตที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วรวม 2,000 เมกะวัตต์ (Operating Capacity) และได้รับการรับรองความเป็นกลางทางคาร์บอน