นายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย กล่าวบรรยายพิเศษในหัวข้อ Global Overview: US’s Challenges and Opportunities to Net Zero ในงานสัมมนา Climate Tech Forum: Infinite Innovation...Connecting Business to Net Zero จัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ร่วมกับบีไอจี ผู้นำนวัตกรรมก๊าซอุตสาหกรรมและ เทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อสภาพภูมิอากาศ วันนี้ (28 มิ.ย.) ว่า เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นสหรัฐอเมริกากับไทย มีความร่วมมือกันเพื่อรับมือกับ “ความท้าทายที่เร่งด่วนที่สุด” ในยุคนี้ นั่นก็คือ วิกฤตการณ์สภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Crisis นั่นเอง
“ สำหรับทั่วโลก รวมทั้งไทย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้เกิดพายุรุนแรงบ่อยขึ้นกว่าเดิม การพยากรณ์ปริมาณน้ำฝนเป็นไปได้ยากขึ้น ตามมาด้วยภัยแล้งและน้ำท่วมที่รุนแรงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ระดับน้ำทะเลก็เพิ่มสูงขึ้นซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อชุมชนชายฝั่ง” ท่านทูตสหรัฐเปิดประเด็น โดยย้ำว่า นี่คือวิกฤตการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น แต่ก็เป็นสิ่งที่ “รับมือ” ได้ด้วยความร่วมมือ-ร่วมแรงร่วมใจของทุกฝ่าย ผู้นำภาครัฐและผู้บริหารภาคธุรกิจ สามารถร่วมมือกัน เพื่อส่งต่อโลกที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงและเศรษฐกิจที่เข้มแข็งยิ่งขึ้นให้แก่คนรุ่นลูกรุ่นหลาน
ทูตโกเดคขยายความว่า เราสามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้เพียงแค่อาศัยจุดแข็งที่แต่ละประเทศมี และด้วยการร่วมมือกัน การสร้างเครือข่าย และเสริมสร้างความร่วมมือ จะช่วยให้เราหยุดยั้งและผ่านพ้นภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ในที่สุด
ความร่วมมือสหรัฐ-ไทย
สหรัฐกำลังทำงานร่วมกับกระทรวงพลังงานของไทย ซึ่งจะมีการประกาศแผนพลังงานแห่งชาติออกมาเร็ว ๆ นี้ แผนดังกล่าวตั้งอยู่บนหลักการของ
โดยอาศัยตัวอย่างและความช่วยเหลือด้านเทคนิคของสหรัฐอเมริกา
“การจัดการกับวิกฤตด้านสภาพภูมิอากาศต้องอาศัยความร่วมมือของทุกหน่วยงานภาครัฐ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเรายังได้ทำงานร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเราได้แนะนำองค์กรนี้ให้รู้จักกับผู้เชี่ยวชาญจากรัฐแคลิฟอร์เนียเพื่อรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับตลาดคาร์บอนและระบบค้าขายแลกเปลี่ยนก๊าซเรือนกระจกอันล้ำสมัย
เรายังทำงานกับบริษัทไทยที่มีวิสัยทัศน์ไกลอย่าง ปตท. ซึ่งเป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนผ่านพลังงานด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานแบบใหม่ อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และพลังงานไฮโดรเจน ตลอดจนการแสวงหาหนทางลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตไฟฟ้าแบบดั้งเดิม โดยใช้ก๊าซธรรมชาติ ผ่านการดักจับ การนำมาใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน ซึ่งจะมีผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐมาช่วยไทยวางโครงสร้างทางกฎหมายและระเบียบทางการที่เกี่ยวข้องต่อไป”
การแบ่งปันโนฮาว-เทคโนโลยีจากเอกชนอเมริกัน
เอกอัครราชทูตสหรัฐ ยกตัวอย่างบริษัทผู้นำด้านนวัตกรรมของสหรัฐ อย่าง บริษัท ดาว (Dow) ซึ่งไม่เพียงแสวงหาหนทางลดการปล่อยคาร์บอนในธุรกิจหลักของบริษัทเอง แต่ยังลงทุนในเทคโนโลยีใหม่และล้ำสมัย ซึ่งจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง บริษัท ดาว กำลังทำให้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) กลายเป็นรูปธรรม หลังจากที่ไทยได้ส่งเสริมแนวคิดดังกล่าวในการประชุมเอเปคเมื่อปี 2565 และสหรัฐซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคในปีนี้ (2566) ได้บรรจุแนวคิด BCG ไว้ในวาระการประชุมปีนี้แล้ว
“ผมได้พูดคุยหลายครั้งกับท่านผู้ว่าชัชชาติ (สิทธิพันธุ์) ซึ่งเป็นผู้นำที่แท้จริงในด้านนี้ ว่ากรุงเทพมหานครเดินหน้าการเป็นเมืองต้นแบบด้านเทคโนโลยีสะอาดอันชาญฉลาด ซึ่งรวมถึงยานยนต์ไฟฟ้า ได้อย่างไร ท่านอาจเคยเห็นท่านผู้ว่ากับผมเที่ยวกรุงเทพฯ มาแล้วเมื่อต้นปีนี้ด้วยยานยนต์ไฟฟ้า อย่างเช่น รถยนต์ รถบัส เรือเฟอร์รี่ หรือแม้กระทั่งรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า!” ทูตโกเดคเผยว่า สหรัฐกำลังช่วยวางรากฐานสำหรับการขยายตัวการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ด้วยการให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคสำหรับโครงสร้างพื้นฐานที่ชาร์จไฟและการนำเสนอเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าและเชื่อถือได้ผ่านบริษัทต่าง ๆ อย่าง เทสลา (Tesla)
ความร่วมมือกับนานาชาติ “เราต้องร่วมมือกัน”
“เราไม่สามารถดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้เพียงลำพัง ฉะนั้น ผมจึงรู้สึกยินดีที่ได้เห็นผลงานที่ดีของบริษัทโตโยต้า นอกจากนี้ เราได้มีความร่วมมือที่ยิ่งใหญ่กับรัฐบาลญี่ปุ่นและบริษัทญี่ปุ่น เมื่อปีที่แล้ว (2565) โตโยต้าลงนามบันทึกความเข้าใจกับบริษัท อีวีโลโม (EVLOMO) ของสหรัฐ และบริษัทในเครือของปตท. (บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก หรือ OR) เพื่อร่วมมือกันพัฒนาแบตเตอรี่สำหรับยานพาหนะสองล้อในประเทศไทย นอกจากนี้ สหรัฐและญี่ปุ่นยังช่วยไทยพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้ทันสมัยขึ้นและบูรณาการการใช้พลังงานหมุนเวียนผ่านกรอบความร่วมมือหุ้นส่วนด้านพลังงานแม่น้ำโขงระหว่างญี่ปุ่น-สหรัฐฯ (Japan-U.S. Mekong Power Partnership)”
ท่านทูตสหรัฐกล่าวว่า น่ายินดีที่มีหลายบริษัทเป็นตัวกลางเชื่อมความร่วมมือระหว่างกัน หนึ่งในนั้นคือบริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส (บีไอจี) ผู้ร่วมจัดสัมมนาในครั้งนี้ เป็นตัวอย่างอันยอดเยี่ยมของความเป็นหุ้นส่วนสหรัฐ-ไทย
“ท่านอาจทราบกันอยู่แล้วว่า บีไอจีนั้นเกิดจากความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างบริษัท Air Products ของสหรัฐ กับธนาคารกรุงเทพของไทย ความยั่งยืนและความสำเร็จของบีไอจีเป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมของความสัมพันธ์ด้านการค้าที่แข็งแกร่งระหว่างสหรัฐกับไทย และยังแสดงให้เห็นถึงประโยชน์จากการร่วมมือดังกล่าวได้เป็นอย่างดี บีไอจีเป็นผู้นำที่แท้จริงในการส่งเสริมแนวปฏิบัติที่ยั่งยืนโดยนำเทคโนโลยีของสหรัฐมาใช้ให้เกิดประโยชน์
เส้นทางธุรกิจของบีไอจีเป็นตัวอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ที่มุ่งมั่นที่จะสร้างโลกที่ดีกว่าเดิมด้วยการนำเทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศมาใช้ ดังนั้น ในโอกาสครบรอบ 35 ปีของบีไอจี ผมอยากให้พวกเรามาร่วมกันรำลึกถึงความสำเร็จขององค์กรอันโดดเด่นนี้”
ทูตโกเดคกล่าวว่า รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษกับโครงการ Hydrogen for Mobility ของบีไอจี “บางทีผมกับท่านผู้ว่าชัชชาติอาจจะได้เที่ยวกรุงเทพด้วยยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยเซลล์เชื้อเพลิงในปีหน้าก็เป็นได้”
การประชุมหารือเชิงนโยบายด้านพลังงานสหรัฐ-ไทย
เดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้มีการจัดประชุมหารือเชิงนโยบายด้านพลังงานระหว่างสหรัฐกับไทย ครั้งที่ 3 ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยไทยได้ส่งคณะตัวแทนที่มากความสามารถ ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ภาครัฐและผู้บริหารภาคเอกชนเข้าร่วมงานตลอด 3 วัน โดยมุ่งให้ความสำคัญกับการแสวงหาโอกาสความร่วมมือใหม่ ๆ ด้านพลังงานสะอาด ซึ่งรวมถึงเงินทุนจากรัฐบาลกลางสหรัฐร่วม 4 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งมาจากการออกรัฐบัญญัติลดอัตราเงินเฟ้อ (IRA) ซึ่งเป็นกฎหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ
หลังจากนั้นมา เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี้เอง ยังมีการผลักดันความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างสหรัฐกับไทยอีกครั้ง ผ่านการประชุมคณะกรรมการร่วมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Joint Committee on Science and Technology) ที่พัฒนามาจากความร่วมมือภายใต้ข้อตกลงระดับทวิภาคีด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐ-ไทยในช่วงสิบปีที่ผ่านมา และช่วยกำหนดหนทางข้างหน้าสำหรับนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และเจ้าหน้าที่ภาครัฐจากทั้งสองประเทศ เพื่อร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเป็นกลไกขับเคลื่อนการปฏิวัติพลังงานสะอาดต่อไปในอนาคต
“ตัวอย่างข้างต้นเป็นเพียงแค่ส่วนเดียวของความร่วมมือในด้านนี้ จริง ๆ แล้วยังมีความร่วมมืออื่น ๆ อีกมากมาย ปีนี้ เราเฉลิมฉลอง 190 ปีแห่งความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีระหว่างสหรัฐกับไทย ซึ่งผมรู้สึกประทับใจกับความร่วมมือที่ครอบคลุมและหยั่งรากลึกซึ่งยังดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง แถลงการณ์ว่าด้วยความเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ซึ่งลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ นายแอนโทนี บลิงเคน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย นายดอน ปรมัตถ์วินัย ในปีที่ผ่านมา ได้กำหนดขอบเขตงานที่เราจะทำร่วมกันต่อไป และท่านคงไม่แปลกใจที่ได้ทราบว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและอนาคตของพลังงานสะอาดได้รับการบรรจุเป็นหัวข้อหลักในแถลงการณ์ดังกล่าวด้วย”
ท้ายที่สุด เอกอัครราชทูตสหรัฐย้ำว่า รัฐบาลสหรัฐและตัวท่านทูตเองมีความมุ่งมั่นต่อการบรรลุเป้าหมายนี้ และเชื่อมั่นว่า จะสามารถบรรลุผลสำเร็จได้ด้วยการกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นและด้วยการทำงานร่วมกัน
ความสำเร็จขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถระดมความร่วมมือจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้รวดเร็วเพียงใด ท่านทูตเองเชื่อมั่นว่าผลลัพธ์ที่ปลายทาง คือโลกที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกว่าเดิมสำหรับคนรุ่นต่อไป ตลอดจนระบบเศรษฐกิจที่หลากหลายและมีประสิทธิผลบนพื้นฐานของเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย
แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น แน่นอนว่ายังมีงานอีกมากมายรออยู่ ยังมีเรื่องที่ต้องสานต่อ และแสวงหาหนทางกระชับความร่วมมือกับผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้ที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้กันต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง