In Brief
จากกระบวนการผลิตของสินค้า ของสหภาพยุโรปหรืออียู ที่มีการยกเลิกการให้สิทธิปล่อยก๊าซฟรี (Phase out of free allocation) และเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอนอย่างเต็มรูปแบบ ที่อียูนำใช้เป็นข้อกีดกันทางค้าในรูปแบบหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ผลิตในสหภาพยุโรปเสียเปรียบ จากการส่งสินค้าที่ไม่มีมาตรการหรือการดำเนินงานลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เข้าประเทศ ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรมหนักที่ปล่อยคาร์บอนสูง ได้แก่ เหล็ก และเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า และไฮโดรเจน และมีแผนขยายขอบเขตไปสินค้ากลุ่มอื่น เช่น พลาสติก และโพลีเมอร์ แก้ว เซรามิกกระดาษ และสารเคมีพื้นฐาน
ดร.กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ชี้ให้เห็นว่า CBAM กำลังเป็นแรงกดดันจากตลาดที่สำคัญ ซึ่งจะส่งผลต่อผู้ส่งออกไทยที่ยังไม่ได้เริ่มลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก( GHG) และต้องเผชิญกับ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จากค่าธรรมเนียมคาร์บอนข้ามพรมแดน ที่อาจจะนำไปสู่เกิดการเปลี่ยนทิศทางการค้า โดยคู่ค้าอาจหันไปซื้อสินค้าจากประเทศหรือบริษัทที่มีการปล่อยคาร์บอนตํ่ากว่าแทน และธุรกิจที่ไม่มีแผนลด GHG ชัดเจนจะเสียเปรียบในการแข่งขัน เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์จะสูงกว่าคู่แข่งเมื่อรวมภาษีคาร์บอนเข้าไปแล้ว
หากธุรกิจไทยไม่ปรับตัว จะมีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียคำสั่งซื้อ (Order) จากบริษัทข้ามชาติ (Multinationals: MNEs) ที่มีเป้าหมายการใช้พลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีคาร์บอนตํ่าที่เข้มงวดมากขึ้น โดยกดดันให้คู่ค้าสำคัญในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของไทย มีการตั้งเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดและมีกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน ซึ่งหากผู้ประกอบการไทยไม่สามารถปฏิบัติตามเกณฑ์เหล่านี้ได้ ก็จะถูกคัดออกจากห่วงโซ่การผลิต
ยกตัวอย่างให้เห็น Apple, Google, Toyota, Nestlé ตั้งเป้าหมาย Net Zero หรือการใช้พลังงานสะอาด 100% บริษัทไทยที่เป็น “Supplier” (ผู้ผลิตชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบส่งให้) ก็ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานนั้นด้วย
หากธุรกิจไทย (SMEs หรือบริษัทท้องถิ่น) ไม่ปรับตัวตามเกณฑ์ด้านความยั่งยืนของบริษัทข้ามชาติ จะมีความเสี่ยงสูงที่จะ สูญเสียคำสั่งซื้อ (Order) เพราะบริษัทข้ามชาติ จำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์และต้องรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 3 ของตัวเองให้ตํ่าลง
นอกเหนือจากคำสั่งซื้อแล้ว ยังมีแรงกดดันในมิติทางการเงิน “Green Repricing” โดยข้อมูลในช่วงปี 2564-2568 พบว่า ผลตอบแทนของธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green sectors) มีแนวโน้มสูงขึ้น ในขณะที่ธุรกิจที่ปล่อยมลพิษสูง (Brown sectors) มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลตอบแทนลดลงหรือถูกประเมินราคาใหม่ในทางลบ รวมไปถึงผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับเป้าหมายเพื่อโลก (Planet first) มากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่กดดันให้บริษัทข้ามชาติ ต้องเลือกคู่ค้าที่สะอาดเท่านั้น
ดร.กรรณิการ์ ได้เสนอแนะแนวทางเชิงนโยบาย เพื่อรับมือกับความท้าทายว่า ประเทศไทยควรออกแบบมาตรการกำหนดราคาคาร์บอนที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศ เพื่อให้ภาคธุรกิจมีแรงจูงใจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
สนับสนุนให้ภาคส่วนต่าง ๆ เข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อการลงทุนในเทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากต้นทุนเทคโนโลยีในปัจจุบันยังค่อนข้างสูง รวมถึงการเร่งผลักดัน ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนงาน และปลดล็อกกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน
ตลอดจนการพัฒนาระบบการตรวจวัด รายงานผล และทวนสอบ (MRV) ให้เป็นมาตรฐาน เพื่อรองรับข้อกำหนดของมาตรการสากลอย่าง CBAM และส่งเสริมให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจเห็นความสำคัญของการลดก๊าซเรือนกระจก และสนับสนุนให้ธุรกิจตรวจวัด Carbon Footprint ของทั้งองค์กรและผลิตภัณฑ์
ดังนั้น การปรับตัวของธุรกิจไทยไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความอยู่รอด โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมด้าน ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการเข้าถึง แหล่งเงินทุนสีเขียว เพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตให้สอดคล้องกับมาตรฐานโลกก่อนที่มาตรการบังคับใช้ต่าง ๆ จะเข้มข้นขึ้นในปีต่อ ๆ ไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง