net-zero

ปตท. ดัน CCS Hub ตอบโจทย์ Net Zero สร้างโอกาสเศรษฐกิจตลอดห่วงโซ่

In Brief

  • ปตท. พัฒนาโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS Hub) ในพื้นที่อ่าวไทย เพื่อเป็นเทคโนโลยีหลักช่วยให้ไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593
  • โครงการดังกล่าวจะช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ตลอดห่วงโซ่ ตั้งแต่การขนส่ง การกักเก็บ ไปจนถึงการนำคาร์บอนไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอื่น เช่น การผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (E-SAF)
  • คาดว่าโครงการจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 18,000 ล้านบาทต่อปี และสร้างการจ้างงานกว่า 11,000 ตำแหน่ง ภายในปี 2578
  • ความสำเร็จของโครงการจำเป็นต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเร่งด่วน ทั้งการปลดล็อกกฎระเบียบ การตั้งหน่วยงานกำกับดูแลเดียว และการออกมาตรการจูงใจทางการเงิน

นายรัฐกร กัมปนาทแสนยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ความยั่งยืนองค์กรบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวในงาน Special Talk: Regulations for Facilitating Sustainability Goals ในหัวข้อ “Big Move get More with CCS” ว่า จากที่ประเทศไทยยกระดับเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับที่ 2 หรือ NDC 3.0 ในการบรรลุเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกเร็วขึ้น 15 ปี หรือภายในปี 2593 การดำเนินงานจะไม่สำเร็จเลย หากไม่มีการขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ Carbon Capture and Storage หรือ CCS ขนาดใหญ่

ทั้งนี้ จากการคาดการณ์พลังงานโลก (Exxon energy outlook) ชี้ชัดว่า พลังงานฟอสซิลจะยังคงเป็นแหล่งพลังงานหลักของโลกไปอีกยาวนาน แม้พลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานสะอาดจะเติบโต แต่พลังงานฟอสซิลในปี 2593 ยังคงครองสัดส่วนหลัก โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ มีสัดส่วนที่ 26% และนํ้ามัน 28% ถ่านหิน 13% นิวเคลียร์ 7% ขณะที่พลังงานหมุนเวียนเติบโตขึ้นมาอยู่ที่ 18% เป็นต้น ส่วนไทยเองการใช้พลังงานฟอสซิล (นํ้ามัน+ก๊าซ+ถ่านหิน) ยังคงสูงถึงกว่า 55% ของพลังงานทั้งหมด ในปี 2593

ปตท. ดัน CCS Hub ตอบโจทย์ Net Zero สร้างโอกาสเศรษฐกิจตลอดห่วงโซ่

ดังนั้น การนำ CCS มาใช้ตั้งแต่ต้นทางจึงถือเป็นสิ่งจำเป็น และเป็นยุทธศาสตร์ที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับการลดคาร์บอนของไทย

ปัจจุบันโครงการ CCS นำร่องของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือปตท.สผ.ได้เกิดขึ้นแล้วที่แหล่งอาทิตย์ในอ่าวไทย มีปริมาณกักเก็บราว 1 ล้านตัน ที่จะเริ่มก่อสร้างได้ภายในปี 2569 แล้วเสร็จเปิดดำเนินการภายในปี 2571

ขณะที่โครงการ Eastern Thailand CCS Hub (CCS Hub) บริเวณพื้นที่อ่าวไทยตอนบน ขนาดปริมาณกักเก็บประมาณ 10 ล้านตัน ที่จะรวบรวมคาร์บอนจากโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้งจากในและนอกกลุ่มปตท. มากักเก็บ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเพื่อขอเข้าไปสำรวจวัดคลื่นไหวสะเทือนเพิ่มเติม และการเจาะหลุมสำรวจ พิสูจน์และยืนยันศักยภาพปริมาณกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นหินทางธรณีวิทยา ที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2569 เช่นกัน ซึ่งโครงการนี้ คาดว่าจะเริ่มลงทุนได้ในปี 2574 เปิดดำเนินการได้ภายในปี 2577 และหลังจากนั้น จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพิ่มเป็น 19 ล้านตัน ภายในปี 2583 และขยับไปกว่า 60 ล้านตัน ภายในปี 2593

นายรัฐกร กล่าวว่า การดำเนินการ CCS ของไทย ตามปริมาณกักเก็บที่วางไว้ คิดเป็นสัดส่วน 15 % จากปริมาณการปล่อยคาร์บอนในปี 2565 ที่มีอยู่ราว 386 ล้านตันของทั้งประเทศ ในขณะที่ปี 2593 คาดการณ์ว่าทั่วโลกจะมีความต้องการในการกักเก็บคาร์บอนฯ สูงถึง 4,500 ล้านตันต่อปี ดังนั้นจึงถือเป็นโอกาสสำคัญทางธุรกิจ เพราะไม่เพียงการลงทุนก่อสร้างหลุมที่นำคาร์ยบอนไปกักเก็บไว้ใต้พื้นพิภพเท่านั้น แต่ยังมีการลงทุนในธุรกิจต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการปรับสภาพ เช่น การเพิ่มความดันหรือทำให้เป็นของเหลว เพื่อขนส่งทางท่อ หรือทางเรือและรถบรรทุก รวมถึงการนำคาร์บอนไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม, เคมีภัณฑ์, หรือผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (E-SAF) เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ในการขับเคลื่อน CCS Hub ให้สำเร็จได้ จำเป็นต้องอาศัยการสนับสนุนและการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนจากภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นการปลดล็อกกฎระเบียบ ที่จะต้องเร่งทบทวนและแก้ไข เพื่อให้โครงการ CCS สามารถเดินหน้าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดให้มีหน่วยงานกำกับดูแลที่ชัดเจนเพียงหน่วยงานเดียว (One Entity) เพื่อลดความซํ้าซ้อนและเร่งรัดกระบวนการอนุมัติ เนื่องจากเป็นโครงการทีต้องใช้เงินลงทุนที่สูง ภาครัฐควรมีมาตรการจูงใจที่เพียงพอ เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี (Tax Credit) หรือการจัดตั้งกองทุนสนับสนุน (Funding) เพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงในระยะแรก และทำให้โครงการมีความเป็นไปได้ทางการเงิน หรือการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน หรือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานร่วมกันเพื่อลดความซํ้าซ้อน

อีกทั้ง ต้องมีการกำหนดโครงสร้างการบริหารจัดการและการดำเนินงานที่ชัดเจน เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส รวมถึงการแสวงหาความร่วมมือทวิภาคี เพื่อรองรับการกักเก็บคาร์บอนข้ามพรมแดน (Cross-border CCS) ซึ่งเป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่

ทั้งนี้ มีประเทศตัวอย่างให้เห็น เช่น สหราชอาณาจักร (UK) จัดตั้งหน่วยงาน DESNZ (Department for Energy Security & Net Zero) เป็นเจ้าภาพหลักเพียงหน่วยงานเดียว ทำให้กระบวนการอนุมัติโครงการทำได้รวดเร็วภายในเวลา ไม่เกิน 2 ปี อีกทั้ง รัฐบาลสนับสนุนเงินทุน (Funding) สูงถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และใช้กลไก CfD (Contract for Difference) เพื่อประกันราคาให้ผู้ลงทุน และยังมีระบบ UK ETS ที่ราคาคาร์บอนสูงถึง 40-50 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนลดการปล่อยก๊าซ

ขณะที่มาเลเซีย ถือเป็นคู่แข่งสำคัญในภูมิภาค โดยการผลักดันร่างกฎหมาย MyCCUS Bill ผ่านสภาและมีผลบังคับใช้ในปี 2568 นี้ ทำให้มีกฎหมายรองรับที่ชัดเจนก่อนไทย และให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อดึงดูดการลงทุน โดยมีเป้าหมายให้ประเทศเป็นศูนย์กลางการกักเก็บคาร์บอนข้ามพรมแดน ในการสร้างรายได้

ส่วนนอร์เวย์ เป็นผู้นำด้านภาษีคาร์บอน จะประกาศเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) ในปี 2569 เจาะจงกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กและพลังงาน ส่งผลให้ราคาคาร์บอนสูงถึง 70-90 ดอลลาร์สหรัต่อตัน (อ้างอิง EU ETS) ส่งผลให้โครงการ CCS มีความคุ้มค่าทางการเงินสูงมาก เมื่อเทียบกับการจ่ายค่าปรับ

สหรัฐอเมริกา ได้ออกกฎหมาย IRA 45Q ให้เครดิตภาษีคืน (Tax Credits) สูงถึง 85 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน สำหรับการดักจับและกักเก็บคาร์บอน เป็นต้น

ทั้งนี้ หากผลักดันโครงการ CCS ได้ตามแผน NDC 3.0 ที่ปริมาณการกักเก็บ 10 ล้านตัน จะสามารถสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้มากกว่า 18,000 ล้านบาทต่อปี และสร้างการจ้างงานใหม่ได้มากกว่า 11,000 ตำแหน่ง ภายในปี 2578 และมูลค่านี้จะเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า เมื่อกำลังการผลิต CCS ขยับไปถึง 60 ล้านตัน