คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักการร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. … ซึ่งถือเป็นกฎหมายจัดการโลกร้อนฉบับแรกของไทย วางรากฐานระบบบริหารจัดการผลกระทบจากสภาพอากาศรุนแรงร่วมกับนานาชาติ พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำตามเป้าหมาย Net Zero 2050 เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันให้ประเทศและประชาชนรับมือโลกเดือดได้อย่างยั่งยืน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ร่างกฎหมายนี้ประกอบด้วย 14 หมวด 205 มาตรา พร้อมบทเฉพาะกาล สอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ต้องการให้กฎหมายมีผลบังคับใช้โดยเร็ว เพื่อกำหนดเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกและแนวทางปรับตัวต่อความเสี่ยงด้านภูมิอากาศ โดยเปิดทางให้ประชาชนและภาคเอกชนร่วมกำหนดนโยบายและขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ
หัวใจสำคัญของร่างกฎหมายคือการเดินหน้า “กลไกราคาคาร์บอน (Carbon Pricing)” เพื่อให้ภาคธุรกิจเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตและการค้าแบบคาร์บอนต่ำ เครื่องมือที่เตรียมนำมาใช้ ได้แก่ ระบบซื้อขายสิทธิปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) ภาษีคาร์บอน มาตรการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดนหรือ CBAM และระบบคาร์บอนเครดิต ซึ่งจะช่วยให้สินค้าไทยแข่งขันได้ในตลาดโลก ท่ามกลางมาตรการคาร์บอนเข้มงวดของคู่ค้ารายใหญ่ เช่น EU สหรัฐ และญี่ปุ่น
อีกหนึ่งกลไกสำคัญคือการจัดตั้ง “กองทุนภูมิอากาศ” เพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียนรองรับการลงทุนของรัฐและเอกชน ทั้งด้านพลังงานสะอาด ระบบเตือนภัยพิบัติ เกษตรยั่งยืน และการยกระดับอุตสาหกรรมไทยให้ผ่านมาตรฐานคาร์บอนต่ำของตลาดส่งออก พร้อมช่วยลดภาระผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กที่ต้องลงทุนปรับตัว
อย่างไรก็ตาม ไทยกำลังเผชิญผลกระทบจากสภาพอากาศสุดขั้วมากขึ้น ทั้งน้ำท่วมใหญ่ ภัยแล้ง ฝนหนักผิดปกติ PM2.5 จากไฟป่า รวมถึงความเสี่ยงต่อความมั่นคงอาหารและน้ำ ขณะเดียวกันประเทศคู่ค้าต่างใช้มาตรการคาร์บอนข้ามพรมแดน หากไทยไม่มีกลไกตามมาตรฐานสากล ความสามารถแข่งขันของสินค้าไทยอาจถูกกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ร่างกฎหมายนี้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนแล้ว และจะถูกส่งต่อให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณารายมาตรา ก่อนเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพื่อผลักดันให้บังคับใช้โดยเร็ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง