In Brief
เหลืออีกเพียง 5 ปีจะครบกรอบแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) แต่หลายสัญญาณบ่งชี้ชัดว่าโลกยัง “ไม่อยู่ในเส้นทาง” ของเป้าหมายดังกล่าว
เสียงสะท้อนจากเวทีสหประชาชาติเองก็ยํ้าประเด็นนี้อย่างชัดเจน ทั้งคำปราศรัยที่ชี้ว่าแรงส่งของความร่วมมือในระดับพหุภาคีนิยมกำลังอ่อนแรง ฉะนั้นบทบาทของภาครัฐอย่างเดียวจึงอาจไม่เพียงพอ
โดยเหตุผลที่หลายฝ่ายชี้ชัดว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนที่พึ่งพิงภาครัฐเพียงอย่างเดียวอาจไม่ช่วยให้แนวคิดนี้ประสบความสำเร็จคือ ระบบปัจจุบันยังมี “ช่องว่างเรื่องตัวชี้วัดและการวัดผล” ทำให้หลายองค์กร โดยเฉพาะเอกชน ไม่แน่ใจว่าจะจัดลำดับการลงทุนและประเมินความก้าวหน้าอย่างไร
งานวิจัยของ Rashed และ Shah ปี 2021 ในวารสาร Environment, Development and Sustainability ชี้ชัดว่าปัญหาใหญ่ของเรื่องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนคือการนิยามและพัฒนาตัวชี้วัด ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีความชัดเจน ส่งผลให้ต้องมีการพัฒนาเกณฑ์และข้อมูลให้วัดผลได้จริง ซึ่งในหลายครั้งภาครัฐกับเอกชนมองไม่เหมือนกัน ส่งผลให้ในหลายประเทศการผลักดันเรื่อง SDG ไม่ก้าวหน้า เพราะภาครัฐและเอกชนไม่ทำงานร่วมมือกัน รัฐอยากได้แบบนี้ แต่เอกชนอาจจะไม่อยากทำ เกิดการทำงานแบบแยกส่วนกันทำ
แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดของภาครัฐของหนีไม่พ้นเรื่องขีดความสามารถและทรัพยากรของรัฐ เพราะต้องยอมรับว่ารัฐมีทรัพยากรจำกัดทั้งคน งบประมาณ และองค์ความรู้ โดยเฉพาะในโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะรูปแบบใหม่ที่ซับซ้อน การดึงเอกชนเข้ามาร่วมแบบ “หุ้นส่วน” จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่หลายประเทศเลือกใช้ คือปล่อยให้เอกชนมีบทบาทนำในประเด็นที่ถนัดกว่ารัฐ เปิดโอกาสให้เอกชนสามารถขับเคลื่อน SDG บางเป้าหมายได้แทนรัฐ โดยมีการพูดคุยและกำหนดกรอบการทำงานกันอย่างใกล้ชิด นี่ก็เป็นอีกวิธีที่หลายประเทศใช้อุดช่องโหว่ของศักยภาพของภาครัฐที่มีจำกัดในเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน
แต่จะให้เอกชนมีบทบาทเรื่องนี้ได้มากรัฐเองก็ต้องมีความชัดเจน วันนี้เราเห็นภาคเอกชนในหลายประเทศทั่วโลกกำลังตื่นตัวกับการขับเคลื่อน ESG ในระดับองค์กรซึ่งเป็นผลมาจากแรงบีบว่าด้วยแนวโน้มการลงทุนจากต่างประเทศ ฉะนั้นหากรัฐต้องการให้เอกชนทุกองค์กรทำเรื่องนี้มากขึ้น การมีกรอบนโยบายและแนวทางการให้ความช่วยเหลือเอกชนที่ตอบสนองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนถือเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนเช่นกัน
วันนี้ภาครัฐต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานร่วมกับภาคเอกชนให้มากขึ้นจากแต่เดิมที่ภาคเอกชนเป็นเพียงผู้คอยสนับสนุนการทำงานของภาครัฐ รัฐต้องเปิดใจให้เอกชนมาเป็น “ผู้ร่วมสร้าง” การเปลี่ยนแปลงการพัฒนาประเทศสู่ความยั่งยืน เพราะเอกชนมีทั้งทุน เทคโนโลยี นวัตกรรม และองค์ความรู้ใหม่ ๆ และปฏิบัติไม่ได้ว่าถ้าเอกชนเป็นผู้ร่วมคิด ร่วมสร้างกับรัฐตั้งแต่แรก การผลักดันตัวชี้วัดย่อมเกิดประสิทธิผล เพราะผู้ขับเคลื่อนเป็นผู้ร่วมออกแบบเอง
แนวคิดเรื่องความร่วมมือภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership) ควรถูกหยิบใช้อย่างแพร่หลายให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะในประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืน เพราะถ้ารัฐกับเอกชนยังคงต่างคนต่างเดิน ปัญหาที่ตามมาคือเป้าหมายการพัฒนาประเทศสู่ความยั่งยืนคงไกลเกินกว่าจะเอื้อม เดินไปอย่างสะเปะสะปะ
หลายปีมานี้ประเทศไทยเรามีนิมิตรหมายที่ดีเมื่อภาครัฐและเอกชนเริ่มจับมือกันเดินเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น แต่ยังมีช่องว่างอีกมากที่รัฐบาลสามารถเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามามีบทบาทและส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเรื่องเหล่านี้อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการผลักให้ความร่วมมือรัฐ-เอกชนเพื่อขับเคลื่อน SDG เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อส่งสัญญาณให้หน่วยงานภาครัฐทุกส่วนเห็นความจริงจังกับเรื่องนี้
หรือพลิก “ESG” เป็น “การลงทุนเพื่อผลลัพธ์ SDGs” (SDG-linked outcomes) ออก กรอบจูงใจภาษี หรือการจัดซื้อภาครัฐ ที่ให้แต้มต่อแก่โครงการเอกชนซึ่งผูกผลลัพธ์กับตัวชี้วัด SDGs ที่ชัดเจน (เช่น ลดก๊าซเรือนกระจก นํ้าเสีย ของเสีย ขยายการเข้าถึงบริการสาธารณะ) พร้อมยอมรับ “หลักฐานจากรายงานความยั่งยืน” เป็นส่วนหนึ่งของการประเมินผลในการรับงาน
ทั้งนี้ เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าถ้ารัฐบาลมีความจริงจังในเรื่องการดึงเอกชนเข้ามามีบทบาทในการผลักดันเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ประเทศไทยในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีผลลัพธ์ที่ดีขึ้นจากเป้าหมายตัวชี้วัดต่าง ๆ อย่างแน่นอน
บทความโดย :
รองศาสตราจารย์ ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง