sustainable

SDGs ไทย “ดีแต่ยังไม่พอ” 7 ปีซ้อนแชมป์อาเซียน ยังไม่ติดท็อป 30 โลก

In Brief

  • ประเทศไทยมีความก้าวหน้าด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เป็นอันดับ 1 ในอาเซียน 7 ปีติดต่อกัน แต่ในระดับโลกยังอยู่ในอันดับที่ 43 ซึ่งยังไม่ติด 30 อันดับแรก
  • การพัฒนาสู่ความยั่งยืนของไทยเผชิญอุปสรรคสำคัญ 5 ประการ เช่น การพึ่งพาทรัพยากรสิ้นเปลือง โครงสร้างเศรษฐกิจเก่าที่เปราะบาง การปรับตัวช้า และการขาดแคลนทักษะแรงงานอนาคต
  • ผู้เชี่ยวชาญเสนอให้ภาคธุรกิจเร่งเสริมความแข็งแกร่งใน 4 ด้านเพื่อขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน ได้แก่ การพัฒนาคน, การวางกลยุทธ์ที่มองการณ์ไกล, การลงทุนในงานวิจัยและนวัตกรรม, และการวางแผนรับมือความเสี่ยง

แม้ประเทศไทยจะครองอันดับ 1 ในอาเซียนด้านความก้าวหน้าของดัชนีด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน SDGs
มา 7 ปีติดต่อกัน แต่หากมองในระดับโลก ไทยยังอยู่เพียงอันดับที่ 43 จาก 167 ประเทศที่ถูกจัดอันดับ ที่น่าสนใจกว่านั้น

ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติระบุว่าโลกมีโอกาสบรรลุเป้าหมาย SDGs ครบทั้ง 17 ประการ ภายในปี 2030 เพียง 17% เท่านั้น อีก 48% เดินหน้าอย่างล่าช้า และอีก 37% ไม่มีความคืบหน้าหรืออาจกำลังถอยหลังคำถามสำคัญ คือ แล้วประเทศไทยอยู่ตรงไหนในเส้นทางนี้?

แม้จะยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด แต่หากโฟกัสเฉพาะมิติความยั่งยืนทางเศรษฐกิจก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาคธุรกิจ
ในไทยยังคงต้องเร่งเครื่องไปสู่เป้าหมายความยั่งยืน ซึ่งในวันนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการความยั่งยืนไทยจะพาไปวิเคราะห์กับแนวทางการปรับตัวเพื่อให้บรรลุกับเป้าหมายดังกล่าว

 

โดย รศ.ดร.ณัฐวุฒิ พิมพา ผู้ช่วยคณบดีด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน จากวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ได้วิเคราะห์ว่าเหตุที่ภาคเศรษฐกิจไทยเดินหน้าไปสู่บางเป้าหมายความยั่งยืนอย่างล่าช้า เพราะมี 5 Pain Points หลักๆ ที่เป็นกับดักฉุดรั้งไม่ว่าจะเป็น1. การพึ่งพาทรัพยากรสิ้นเปลืองมากเกินไป ซึ่งหลายอุตสาหกรรมยังคงใช้พลังงานฟอสซิลและวัตถุดิบที่ใช้แล้วหมดไป ไม่มีระบบหมุนเวียนรองรับ ส่งผลให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงพุ่งและก่อให้เกิดต้นทุนแฝง ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ

2. ยังอาศัยโครงสร้างเศรษฐกิจเก่าที่เสี่ยงสูง ภาคการเกษตรและการท่องเที่ยวยังคงเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่นำรายได้เข้าประเทศเหมือนในอดีต แต่ในระบบเศรษฐกิจปัจจุบัน2 อุตสาหกรรมนี้ก็เป็นกลุ่มเปราะบางจากการแข่งขันและความต้องการที่เปลี่ยนไป ซ้ำร้ายมีความเสี่ยง

SDGs ไทย “ดีแต่ยังไม่พอ” 7 ปีซ้อนแชมป์อาเซียน ยังไม่ติดท็อป 30 โลก

ทั้งจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่ไม่ก่อให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน

 

3. ปรับตัวช้ากว่าการเปลี่ยนแปลง หลายองค์กรยังมองว่าการสร้างรูปแบบธุรกิจที่ยั่งยืนเป็นภาระมากกว่าโอกาส ทำให้ขาดการลงทุนและการวางแผนเปลี่ยนผ่านสู่โมเดลคาร์บอนต่ำและเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือการสร้างความยั่งยืนผ่านนโยบายการค้าที่เน้นการสร้างมูลค่าร่วมกัน

4. ระบบนิเวศนวัตกรรมยังไม่แข็งแรง แม้จะมีสตาร์ทอัพและงานวิจัยใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่การเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างองค์กรและหน่วยงานในอุตสาหกรรมยังไม่เข้มแข็งพอที่จะสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง รวมถึงการวิจัยเชิงพาณิชย์ที่ยังมีน้อยและมักจำกัดอยู่แค่ในแวดวงวิชาการมากกว่าถูกนำไปใช้จริง

และ 5. แรงงานยังขาดความรู้เชิงลึกและทักษะอนาคต โดยเฉพาะทักษะดิจิทัล เทคโนโลยีด้าน
ความยั่งยืน และนวัตกรรมด้านสุขภาพ รวมถึงความสามารถในการมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมซึ่งพบได้ทั้งในแรงงานรุ่นใหม่และรุ่นที่ผ่านการทำงานมานาน

SDGs ไทย “ดีแต่ยังไม่พอ” 7 ปีซ้อนแชมป์อาเซียน ยังไม่ติดท็อป 30 โลก

รศ.ดร.ณัฐวุฒิ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า หากต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่ความยั่งยืน องค์กรภาคธุรกิจซึ่งเป็นฟันเฟืองหลักต้องเร่งเตรียมความพร้อม และเสริมแกร่งให้ “4 จิ๊กซอว์สำคัญ” คือ คน กำลังหลักขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง

โดยองค์กรจำเป็นต้องเร่งปรับโมเดลการพัฒนาบุคลากรใหม่ โดยต้องมองไกลกว่าแค่การเพิ่มทักษะเฉพาะด้าน แต่ต้องสร้างทั้งผู้นำและทีมงานที่เข้าใจภาพรวมทั้งเชิงลึกและเชิงกว้าง ทั้งกลยุทธ์และปฏิบัติ มีทักษะการคิดเชิงระบบและมองเห็นความเชื่อมโยงของปัจจัยรอบด้านองค์กรจึงต้องลงทุนอย่างจริงจังในการ Reskilling และ Upskilling บุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างกำลังคนที่พร้อมปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลง และเสริมขีดความสามารถในการขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคตที่ยั่งยืน

SDGs ไทย “ดีแต่ยังไม่พอ” 7 ปีซ้อนแชมป์อาเซียน ยังไม่ติดท็อป 30 โลก

กลยุทธ์ซึ่งเป็นเข็มทิศสู่ความยั่งยืน โดยการวางกลยุทธ์ธุรกิจยุคใหม่ต้องไม่ยึดติดกับกำไรระยะสั้นหรือความสำเร็จแบบฉาบฉวย แต่ต้องมองการณ์ไกล กล้าลงทุนในเรื่องความยั่งยืน ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ยังไม่เห็นผลตอบแทนทันทีแต่สร้างคุณค่าในระยะยาว ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาสมดุลระหว่างผลประกอบการกับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมไว้ด้วย

ส่วนต่อมาคือ งานวิจัย เครื่องมือสร้างสรรค์องค์ความรู้และนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน โดยการวิจัย
มีส่วนช่วยในการพัฒนารูปแบบธุรกิจที่ทันสมัย สามารถช่วยลดความเสี่ยงในทุกประเด็นของสิ่งแวดล้อม สังคม และ บรรษัทภิบาล (ESG) เพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ และการวางแผนกลยุทธ์

องค์กรจึงจำเป็นต้องลงทุนและสนับสนุนการทำวิจัยอย่างจริงจัง ทั้งการคิดค้นนวัตกรรม การถอดบทเรียนจากกรณีศึกษา และการเชื่อมโยงองค์ความรู้ระดับภูมิภาคและระดับโลกมาประยุกต์ใช้กับบริบทธุรกิจไทย เพื่อให้การทำธุรกิจมีคุณค่าและความหมายและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และสุดท้ายคือ แผนรองรับความเสี่ยง เพื่อเพิ่มความสามารถในการรับมือกับกับภาวะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนรับมือภัยพิบัติ ภาวะฉุกเฉิน ความไม่แน่นอนทางการเมือง ความผันผวนทางเศรษฐกิจ หรือแม้แต่ความเปราะบางทางสังคม