net-zero

นับถอยหลัง COP30 บราซิล เปิดไฮไลต์สำคัญบนเวทีภูมิอากาศโลก

In Brief

  • บราซิลจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุม COP30 ที่เมืองเบเลง ใจกลางป่าอเมซอน ในเดือนพฤศจิกายน 2025 โดยเป็นครั้งแรกที่การประชุมภูมิอากาศของสหประชาชาติจัดขึ้นในภูมิภาคนี้
  • วาระสำคัญในการประชุมมุ่งเน้นการกำหนดตัวชี้วัดเป้าหมายโลกด้านการปรับตัว (GGA) การขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม (Just Transition) และการติดตามผลการประเมินข้อตกลงปารีส (GST)
  • ประเด็นท้าทายหลักคือการผลักดันเรื่องการเงินเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยตั้งเป้าหมายระดมทุนที่สูงขึ้น และการกลับมาหารือเรื่องการลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลอย่างจริงจัง

การประชุม COP30 ในพฤศจิกายน 2025 บราซิลจะเป็นเจ้าภาพจัดงานสำคัญที่สุดงานหนึ่งในปฏิทินด้านสภาพภูมิอากาศของโลก คือ การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30 หรือ COP30 ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองเบเลง ใจกลางป่าฝนอเมซอน คาดว่าจะมีผู้แทนจากเกือบ 200 ประเทศเข้าร่วม เพื่อหารือทิศทางอนาคตของการดำเนินการด้านภูมิอากาศโลก

ทุกปีจะมีการประชุมเตรียมการก่อนการประชุม COP ที่เมืองบอนน์ ประเทศเยอรมนี ซึ่งถือเป็น เครื่องชี้วัดของการเจรจาใหญ่ โดยผู้แทนจากแต่ละประเทศจะหารือเชิงเทคนิคเพื่อขับเคลื่อนการเจรจาให้คืบหน้ามากที่สุดก่อนถึงการประชุมหลัก

ปี 2025 ผลการประชุมที่บอนน์ถือว่ามีความคืบหน้าเชิงบวก โดยเฉพาะในประเด็นเป้าหมายโลกด้านการปรับตัว (Global Goal on Adaptation: GGA) และ การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม (Just Transition) ซึ่ง เอกอัครราชทูตอังเดร กอรีอา ดู ลาโก ประธาน COP30 ระบุว่า มีความชัดเจนมากขึ้น ขณะที่การหารือเรื่องการประเมินความก้าวหน้าภาพรวมของข้อตกลงปารีส (Global Stocktake: GST) ยังไม่คืบหน้ามากนัก

ในจดหมายฉบับที่ 4 จากฝ่ายประธาน COP30 ของบราซิล ดู ลาโก เขียนว่า เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามผลของ GST วาระการดำเนินงานของ COP30 จะถูกออกแบบให้เป็นที่รวบรวมข้อริเริ่มเชิงรูปธรรมซึ่งเชื่อมโยงความทะเยอทะยานด้านภูมิอากาศเข้ากับโอกาสทางการพัฒนา ทั้งในด้านการลงทุน นวัตกรรม การเงิน เทคโนโลยี และการเสริมสร้างศักยภาพ

มากกว่าการแสดงพันธสัญญาทางการทูต COP30 ครั้งนี้มีศักยภาพจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนของการดำเนินการตามข้อตกลงปารีส ด้วยการเชื่อมโยงการตัดสินใจในระดับพหุภาคีกับความท้าทายและแนวทางแก้ไขที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตภูมิอากาศโดยตรง

การประชุมจะจัดขึ้นเมื่อใด

การประชุม COP30 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10–21 พฤศจิกายน 2025 ที่เมืองเบเลง เมืองหลวงรัฐปารา ประเทศบราซิล ซึ่งตั้งอยู่ริมอ่าวกัวจารา ใจกลางผืนป่าอเมซอน เมืองนี้ถูกเลือกด้วยเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ทั้งทางสัญลักษณ์และทางปฏิบัติ เพราะเป็นครั้งแรกที่การประชุมหลักของสหประชาชาติด้านภูมิอากาศจัดขึ้นในภูมิภาคอเมซอน ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญต่อสมดุลภูมิอากาศของโลก แต่ก็เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำและปัญหาสิ่งแวดล้อมเชิงโครงสร้าง

การประชุมครั้งก่อน ๆ ปูทางมาสู่เบเลง โดย COP28 เมื่อปี 2023 จัดขึ้นที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเป็นครั้งแรกที่มีการยอมรับถึงความจำเป็นในการลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล

ส่วน COP29 ในปี 2024 ที่เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน มุ่งเน้นเรื่องการเงินด้านภูมิอากาศ แต่ผลลัพธ์ถูกมองว่าล้มเหลวและสร้างความผิดหวัง ทำให้ COP30 ภายใต้การนำของบราซิลถูกคาดหวังว่าจะสร้างผลลัพธ์เชิงบวกได้จริง

ประเด็นสำคัญของ COP30

ประเด็นหลักภายใต้การเป็นเจ้าภาพของบราซิล ได้แก่ การกำหนดตัวชี้วัดของเป้าหมายโลกด้านการปรับตัว (GGA Indicators) การเดินหน้าโครงการทำงานด้านการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม (Just Transition Work Programme) และการติดตามผลการประเมินความก้าวหน้าระดับโลก (Global Stocktake) ของข้อตกลงปารีสปี 2023 รวมถึงการเตรียมยื่น NDC ชุดใหม่ภายในครึ่งหลังของปี 2025 

ตัวชี้วัดด้านการปรับตัวจะเป็นกลไกสำคัญของ GGA ซึ่งอยู่ภายใต้ข้อตกลงปารีส โดยการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศถูกคาดว่าจะเป็นหนึ่งในประเด็นเร่งด่วนที่สุดของการประชุมเบเลง ประเทศกำลังพัฒนาต่างเรียกร้องให้มีการจัดสรรทรัพยากรและโครงสร้างที่แข็งแกร่งมากขึ้นเพื่อดำเนินการในเรื่องนี้

ในงานหนึ่งที่กรุงบราซิเลีย เอกอัครราชทูตอังเดร กอรีอา ดู ลาโก ย้ำว่า การปรับตัวจะเป็นหัวใจของการประชุม COP30 พร้อมเน้นบทบาทของบราซิลในฐานะผู้นำเสนอแนวทางแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมและครอบคลุมทุกภาคส่วน

อีกประเด็นสำคัญคือ การเงินด้านภูมิอากาศ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ COP29 ถูกมองว่าล้มเหลว เป้าหมายการระดมทุนใหม่ที่ตั้งไว้ยังไม่เพียงพอ และลดภาระความรับผิดชอบของประเทศพัฒนาแล้ว สเตลากล่าว พร้อมเสริมว่า บราซิลและอาเซอร์ไบจานได้เสนอแนวทางให้ขยับจาก 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามที่ COP29 เสนอ ไปสู่เป้าหมายที่ประเทศกำลังพัฒนาต้องการที่ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์

อีกความท้าทายสำคัญคือ การกลับมาหารือเรื่องพลังงานฟอสซิล พลังงานฟอสซิลเป็นสาเหตุราว 75% ของการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก แต่ยังไม่เคยถูกพูดถึงอย่างตรงไปตรงมา 

ผู้เข้าร่วมการประชุม COP30

คาดว่าจะมีคณะผู้แทนจากเกือบ 200 ประเทศ รวมถึงนักเจรจา รัฐมนตรี และผู้นำประเทศเข้าร่วมที่เมืองเบเลง นอกจากนี้ยังมีผู้แทนภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ วงวิชาการ ชุมชนพื้นเมือง ชุมชนดั้งเดิม กลุ่มคนผิวดำ (Quilombolas) เยาวชน และรัฐบาลท้องถิ่นเข้าร่วมด้วย ความหลากหลายนี้มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างการสนทนาแบบพหุภาคีและการมีส่วนร่วมในแนวทางแก้ปัญหาด้านภูมิอากาศ โดยเฉพาะในภูมิภาคอเมซอน

การประชุม COP แบ่งออกเป็น 2 พื้นที่หลัก ได้แก่

เขตสีน้ำเงิน (Blue Zone) 

พื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสหประชาชาติ เปิดให้เฉพาะผู้เข้าร่วมที่ได้รับการรับรอง เช่น องค์กรพัฒนาเอกชน บริษัท มหาวิทยาลัย และหน่วยงานภาคประชาสังคมที่ขึ้นทะเบียนกับ UNFCCC

เขตสีเขียว (Green Zone) 

พื้นที่เปิดสาธารณะ จัดโดยประเทศเจ้าภาพ มีกิจกรรมอภิปราย นิทรรศการ เวิร์กช็อป และงานวัฒนธรรม เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อมและแนวทางแก้ปัญหาภูมิอากาศ

นอกจากนี้ ยังมีองค์กรภาคประชาสังคมและภาคธุรกิจจำนวนมากจัดกิจกรรมคู่ขนาน เช่น เวทีเสวนา การระดมความร่วมมือ และนิทรรศการ ทำให้ COP30 กลายเป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างสำหรับผู้สนใจ แม้ไม่ได้เข้าร่วมการเจรจาอย่างเป็นทางการ