In Brief
ช่วงสถานีควบคุม WN2 และ WN3 จากเหตุการณ์ก๊าซธรรมชาติรั่วไหลและเกิดเพลิงไหม้ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 ซึ่งได้สร้างความกังวลและผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่เป็นวงกว้าง การจะเปิดใช้ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ เพื่อป้อนก๊าซฯให้กับนิคมอุตสาหกรรมและโรงงานต่าง ๆ ในพื้นที่ได้อีกครั้ง จึงจำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับชุมชนอย่างเข้มงวดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นซํ้าอีกในอนาคต
ตลอดระยะเวลา 5 ปี กรมธุรกิจพลังงาน ในฐานะหน่วยงานกำกับ และบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) จึงเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับชุมชนอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดรับฟังข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และความต้องการของประชาชนที่ได้รับผลกระทบและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมถึงลงพื้นที่เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ตำบลเปร็ง เพื่อเป็นข้อมูลนำไปประกอบการพิจารณาในการอนุญาตให้ระบบท่อกลับมาใช้งานได้อีก
ล่าสุดในการประชุม “การสื่อความชุมชนเพื่อนำท่อส่งก๊าซธรรมชาติท่อคู่ขนานเส้นที่ 2 บนบก... กลับมาใช้งาน” เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา มีเสียงสะท้อนจากนายณัชวันก์ อัลภาชน์ เตชะเสน รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการว่า จังหวัดสมุทรปราการเป็นพื้นที่ ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่จำนวนมาก
จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความเข้มงวด และความถี่ในการปฏิบัติงานและเฝ้าระวังเพื่อไม่ให้ระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติเกิดความเสียหายซํ้าขึ้นอีก รวมทั้งขอให้รักษาการบริหารจัดการชุมชนอย่างต่อเนื่องเช่นเดิมต่อไป
ขณะที่นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ชี้ให้เห็นว่า แก้ไขปัญหาและเตรียมความพร้อมในการนำท่อก๊าซดังกล่าวกลับมาใช้งานได้อย่างปลอดภัย จำเป็นต้องสร้างความมั่นใจว่าระบบท่อจะต้องมีความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งที่ผ่านมากรมฯได้ศึกษาและตรวจสอบเพิ่มเติม เพื่อหาข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งในบริเวณที่เกิดเหตุและบริเวณใกล้เคียง ประเมินความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงศึกษาแนวทางและมาตรการที่จำเป็นในการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยทีมผู้เชี่ยวชาญตามมาตรฐานสากลและหลักวิชาการที่เข้มงวด การออกแบบและการก่อสร้างท่อใหม่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากล เช่น ASME B31.8 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ประกาศโดยสมาคมวิศวกรเครื่องกลแห่งสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ จากการศึกษาและวิเคราะห์สภาพท่อเหล็กและการเคลื่อนตัวของชั้นดินในบริเวณใกล้เคียงจุดเกิดเหตุ เพื่อหาแนวทางซ่อมแซมและการป้องกัน ได้มีการดำเนินงาน 6 แนวทาง ทั้งการตรวจสอบระยะดินหุ้มถึงหลังท่อ ตลอดแนวระหว่างสถานีควบคุม WN2 และ WN3 สำรวจลักษณะการใช้พื้นที่ เพื่อตรวจสอบผลกระทบจากการทรุดตัวของของชั้นดิน จัดส่งรายการคำนวณที่แสดงถึงค่าแรงดันใช้งานที่เหมาะสมกับค่าความแข็งแรงของวัสดุท่อ
พร้อมดำเนินการซ่อมแซม โดยการสร้างท่อใหม่อย่างน้อย 250 เมตร ในบริเวณจุดเกิดเหตุ และทำการทดสอบด้วยแรงดันนํ้า รวมถึงการสำรวจดินหุ้มถึงหลังท่อ การดัดตัวของท่อ และรอยเชื่อมในบริเวณที่มีลักษณะการต่อท่อเป็นท่อนสั้นๆ ให้เสร็จสิ้นก่อนนำท่อกลับมาใช้ใหม่ โดยอุปกรณ์ เช่น กระสวยสำรวจภายในท่อ ตลอดจนจัดทำเกณฑ์ความปลอดภัยสำหรับผลการตรวจวัดท่อเป็นสามระดับ (Alert Alarm Action หรือ AAA levels) ทั้งหมดนี้เพื่อป้องกันการเกิดเหตุซํ้า และได้แจ้งให้ปตท.นำข้อเสนอแนะของประชาชนไปปฎิบัติ โดยเฉพาะมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการเกิดเหตุ
ทางปตท.ชี้แจ้งว่า มาตรการเฝ้าระวังและป้องกัน ได้มีการปรับแก้ไขให้เข้มข้นตามข้อเสนอของชุมชน โดยจะเพิ่มการลาดตะเวนสำรวจพื้นที่แนวท่อ ทั้งด้วยรถยนต์ 2-8 ครั้งต่อเดือน ด้วยโดรน 4 ครั้งต่อปี การตรวจสอบการรั่วไหล 4 ครั้งต่อปี การตรวจสอบด้วยกระสวยอัจฉริยะเพื่อตรวจความสมบูรณ์ของท่อและการเคลื่อนตัว ทุก ๆ 3 ปี และการตรวจสอบกิจกรรมก่อสร้างในแนวเขตระบบ ด้วยภาพถ่ายดาวเทียมและกล้องวงจรปิด
การจัดทำฐานข้อมูลชุมชนรอบแนวท่อในรัศมี 250 เมตรรายตำบล การเปิดช่องทางให้ชุมชนสามารถแจ้งเหตุได้ที่สายด่วนระบบท่อส่งก๊าซ 1540 และการซ้อมแผนฉุกเฉินอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี ในเขตปฏิบัติการ นอกจากนี้ อยู่ระหว่างการตั้งงบศึกษาผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวตามแนวท่อส่งก๊าซฯทั้งหมด คาดจะทราบผลศึกษาได้ภายในปี 2569
จากแนวทางการดำเนินงานและการรับฟังความคิดเห็นที่เกิดขึ้น ทางกรมธุรกิจพลังงาน จะนำผลการดำเนินงานและข้อเสนอแนะจากชุมชนมาประกอบการพิจารณา ในการอนุญาตเปิดใช้ท่อช่วงดังกล่าว ที่คาดว่าจะดำเนินการได้ไม่เกินเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะช่วยให้ระบบท่อส่งก๊าซฯสามารถรองรับความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ควบคู่ไปกับการดูแลความปลอดภัยสูงสุดให้กับชุมชนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง