In Brief
พลังงานลมและแสงอาทิตย์ทั่วโลกผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าพลังงานจากถ่านหินเป็นครั้งแรกในปีนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบไฟฟ้าทั่วโลก ตามการวิจัยล่าสุดจาก สถาบันวิจัยด้านสภาพภูมิอากาศ Ember ระบุว่า ในช่วงหกเดือนแรกของปี 2025 พลังงานหมุนเวียนเติบโตเร็วกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้การใช้ถ่านหินและก๊าซฟอสซิลลดลงเล็กน้อย
ทั่วโลกผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้มากขึ้นเกือบหนึ่งในสามในช่วงครึ่งปีแรก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2024 โดยพลังงานแสงอาทิตย์เพียงอย่างเดียวสามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกได้ถึง 83% ส่วนพลังงานลมเพิ่มขึ้นกว่า 7% ทำให้พลังงานหมุนเวียนสามารถแทนที่เชื้อเพลิงฟอสซิลได้เป็นครั้งแรก
เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบพลังงานโลก พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วเพียงพอที่จะตอบสนองต่อความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก นี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดที่เติบโตไปพร้อมกับความต้องการใช้ไฟฟ้า
รายงานของ Ember ยังระบุด้วยว่า จีนและอินเดียมีบทบาทสำคัญในการขยายพลังงานหมุนเวียน ขณะที่สหรัฐและยุโรปยังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลมากกว่า
รายงานแยกจากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) พบว่า พลังงานหมุนเวียนทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าภายในสิ้นทศวรรษนี้ โดย 80% ของกำลังผลิตพลังงานสะอาดใหม่คาดว่าจะมาจากพลังงานแสงอาทิตย์
การเติบโตของกำลังผลิตพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะถูกขับเคลื่อนโดยพลังงานแสงอาทิตย์เป็นหลัก แต่พลังงานลม พลังน้ำ พลังงานชีวมวล และพลังงานความร้อนใต้พิภพก็จะมีบทบาทสำคัญเช่นกัน
IEA ระบุว่า จีนจะยังคงเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดสำหรับพลังงานหมุนเวียนทั่วโลก ขณะที่อินเดียจะขึ้นมาเป็นตลาดใหญ่อันดับสองในช่วงที่เหลือของทศวรรษนี้
นอกจากตลาดหลักที่มีอยู่แล้ว พลังงานแสงอาทิตย์ยังเตรียมขยายตัวในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น ซาอุดีอาระเบีย ปากีสถาน และอีกหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ขณะที่ Ember พบว่า จีนเพิ่มกำลังผลิตพลังงานหมุนเวียนได้มากกว่าทั้งโลกที่เหลือรวมกัน ส่งผลให้การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลของจีนลดลง 2% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2024
ในช่วงเวลาเดียวกัน อินเดียเพิ่มการผลิตพลังงานหมุนเวียนมากกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศถึงสามเท่า แม้ว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าจะเติบโตช้าลงในปีนี้ ส่งผลให้การใช้ถ่านหินและก๊าซของอินเดียลดลง 3.1% และ 34% ตามลำดับ
ตรงกันข้าม ความต้องการใช้ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาเติบโตเร็วกว่าการขยายตัวของภาคพลังงานหมุนเวียน ส่งผลให้การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเพิ่มขึ้น 17% ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้
ส่วนในสหภาพยุโรป ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่สภาพอากาศที่ส่งผลให้พลังงานลมและพลังน้ำลดลง ทำให้แม้พลังงานแสงอาทิตย์จะเติบโตอย่างรวดเร็วก็ไม่สามารถป้องกันการเพิ่มขึ้นของการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซและถ่านหิน ซึ่งเพิ่มขึ้น 14% และ 1.1% ตามลำดับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง