ตั้งแต่วัตถุดิบอย่างเหล็กและอะลูมิเนียม ไปจนถึงอุปกรณ์สำคัญอย่างแบตเตอรี่และหม้อแปลงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ความผันผวนนี้ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนบางส่วนในสหรัฐฯ สั่นคลอน การถอนตัวจากความตกลงปารีสและการชะลอนโยบายเศรษฐสีเขียวก็ยิ่งตอกยํ้าภาพของการถอย ส่งผลให้การลงทุนและการวิจัยด้านพลังงานสะอาดภายในประเทศเกิดการชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม ในมุมกว้าง ภูมิภาคต่าง ๆ กลับเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ลังเล จีนยังคงผลิตและส่งออกเทคโนโลยีพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่พุ่งสูงขึ้น ทั้งแผงโซลาร์และแบตเตอรี่กำลังถูกผลิตในปริมาณมหาศาล ยุโรปแม้จะเจอแรงกดดันทางการเมืองภายใน แต่ยังคงยืนหยัดขับเคลื่อนมาตรการตลาดคาร์บอนและกลไก CBAM เพื่อให้ต้นทุนการปล่อยมลพิษสะท้อนอยู่ในราคาสินค้า อินเดียเองก็ยํ้าจุดยืนในพันธสัญญาปารีส พร้อมเร่งพัฒนาเทคโนโลยีสะอาดของตนเอง
ส่วนประเทศในกลุ่ม G7 และ G20 หลายแห่งก็กำลังใช้มาตรการการคลังเชิงรุกเพื่อผลักดันอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ ทั้งในภาคพลังงานสีเขียวและเทคโนโลยีดิจิทัล กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ ในขณะที่สหรัฐกำลังชะลอ โลกส่วนอื่น ๆ กำลังเร่งสปีด และช่วงชิงพื้นที่ตลาดที่สหรัฐ ปล่อยว่างเอาไว้
แม้กระแสโลกจะมุ่งไปสู่พลังงานสะอาด แต่เส้นทางนี้ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะเทคโนโลยีใหม่ ๆ ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล และต้องอาศัยนโยบายที่มั่นคงและคาดเดาได้ แต่ความยากนี้กลับกลายเป็นโอกาสสำหรับประเทศที่สามารถวางรากฐานเชิงนโยบายได้เร็วและชัดเจน
นขณะที่สหรัฐ กำลังส่งสัญญาณที่คาดเดาได้ยาก นักลงทุนระดับโลกจำนวนไม่น้อยจึงหันมามองหาตลาดที่มีเสถียรภาพและความโปร่งใสในเชิงนโยบาย ซึ่งรวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และนี่คือจังหวะที่ไทยควรคิดเชิงรุกว่า เราจะเสนอ “แพ็กเกจนโยบายที่มั่นคงและชัดเจน” อย่างไรให้โลกเห็น ทั้งในมิติของกฎหมาย กลไกตลาด ระบบกำกับดูแลที่โปร่งใส และมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลมลพิษและคาร์บอน
การปรับตัวนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของนโยบายเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวพันกับโครงสร้างเศรษฐกิจโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง ภาษีทรัมป์อาจทำให้เส้นทางของห่วงโซ่อุปทานเปลี่ยนไป เช่น จีนอาจหันไปส่งออกเทคโนโลยีสะอาดส่วนเกินไปยังยุโรปหรือประเทศกำลังพัฒนา ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่อาจย้ายฐานการผลิตมายังอาเซียนเพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีและลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์
ขณะเดียวกัน ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ ก็เริ่มมองหาประเทศที่มีระบบไฟฟ้าซึ่งได้มาตรฐานพลังงานสะอาดและสามารถตรวจสอบได้ หากประเทศไทยต้องการคว้าโอกาสนี้ เราจำเป็นต้อง “ทำการบ้านให้ครบ” ตั้งแต่การปรับปรุงระบบไฟฟ้าให้รองรับความต้องการใหม่ ๆ การอนุมัติโครงการไฟฟ้าและระบบสายส่งที่โปร่งใสและทันสมัย มาตรฐานการรับรองพลังงานหมุนเวียนที่ตรวจสอบได้จริง ไปจนถึงการออกแบบกลไกสินเชื่อ และภาษีที่สะท้อนต้นทุนคาร์บอนอย่างเป็นระบบ
ในบริบทนี้ กฎหมายจึงกลายเป็นกุญแจสำคัญ ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด และร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเชิงกฎหมายเท่านั้น แต่คือโครงสร้างหลักที่จะยกระดับความสามารถในการแข่งขันของไทย และดึงดูดการลงทุนจากอุตสาหกรรมสีเขียวทั่วโลก
สิ่งสำคัญคือกฎหมายเหล่านี้ต้องถูกออกแบบให้มี “ความแน่นอนที่ประกาศล่วงหน้า” เพื่อให้ภาคเอกชนสามารถวางแผนลงทุนได้จริง พร้อมกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนในการปรับมาตรฐาน มีบททบทวนตามข้อมูลวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ และมีกลไกดูแลกลุ่มเปราะบางเพื่อป้องกันผลกระทบทางสังคม
นอกจากนี้ ภาครัฐยังควรสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจว่า รายได้จากภาษีสิ่งแวดล้อมจะถูกนำไปใช้เพื่อบรรเทาภาระของครัวเรือนรายได้น้อย เช่น ผ่านคูปองค่าไฟฟ้า หรือการยกเลิกภาษีบางรายการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า “โปร่งใส ยุติธรรม และคุ้มค่า”
ท้ายที่สุดแล้ว ภาษีทรัมป์ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน แต่เป็นบททดสอบว่าใครจะสามารถยืนระยะในสนามแข่งขันที่ยากขึ้นได้ดีกว่ากัน สำหรับประเทศไทย คลื่นความปั่นป่วนนี้คือโอกาสทองในการเสนอนโยบายที่ชัดเจน โปร่งใส และน่าเชื่อถือ เพื่อดึงดูดเงินทุนและเทคโนโลยีจากทั่วโลกเข้ามาอย่างเป็นระบบ
หากสามารถทำให้ประเทศไทยกลายเป็น “จุดลงทุนที่มีต้นทุนความไม่แน่นอนตํ่าที่สุด” เราจะไม่เพียงดึงดูดการลงทุนมหาศาล แต่ยังสามารถช่วยผลักดันให้ทั้งภูมิภาคก้าวสู่การลดคาร์บอนอย่างเป็นรูปธรรม บทเรียนจากคลื่นภาษีในครั้งนี้จึงไม่ใช่สัญญาณให้เราถอย แต่คือแรงผลักให้เราตั้งหลักและเร่งฝีพายให้ทันกระแสโลกที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
บทความโดย : รองศาสตราจารย์ ดร.อรรถสิทธ์ พานแก้ว คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง