สั่งลุย “โฉนดต้นยาง-ต้นไม้” เพิ่มมูลค่า 6 แสนล้าน ปูทางซื้อขายคาร์บอนเครดิต

09 พ.ค. 2568 | 21:39 น.

นับตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2567 ชื่อของ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เข้ามารับตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร รวมระยะเวลา 8 เดือน ได้เร่งยกระดับภาคการเกษตรของไทยให้เป็นเกษตรทันสมัย ทันสมัย

ด้วยแนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” รวมถึงการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ที่ล่าสุดสามารถกอบกู้ราคายางพาราที่ตกต่ำให้กลับมามีราคาที่ดีขึ้นภายใน 1 เดือน

 

สั่งลุย “โฉนดต้นยาง-ต้นไม้” เพิ่มมูลค่า 6 แสนล้าน ปูทางซื้อขายคาร์บอนเครดิต

“ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” ถึง แผนการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตร รวมถึงการช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 2 โครงการใหม่ ที่จะเกิดขึ้นได้แก่ “โฉนดต้นยางพารา” และ “โฉนดต้นไม้ในพื้นที่ ส.ป.ก.” ที่จะทำให้เกษตรกรมีรายได้ใหม่ นอกเหนือจากการขายผลิตผลทางการเกษตร

 

“ยางพารา” สินค้าตัวเดียวบริหารครบวงจร

 ศ.ดร.นฤมล กล่าวถึงภารกิจการดูแลเกษตรกร ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมว่า ที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีหลายสินค้าที่เกษตรกรขายผลผลิตได้ตํ่ากว่าราคาต้นทุน ซึ่งก็ไม่โทษใคร แต่อยากให้เกษตรกรได้รับราคาที่เป็นธรรม ทั้งจากภาคเอกชน พ่อค้าคนกลาง หรือจากผู้บริโภค ซึ่งก็มีหลายสินค้าที่ไม่ได้อยู่ในอำนาจการกำกับดูแลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่จะจัดการได้เบ็ดเสร็จแบบ “ยางพารา” แต่ก็พยายามประสานความร่วมมือไปยังทุกฝ่ายและกระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหา

 

สั่งลุย “โฉนดต้นยาง-ต้นไม้” เพิ่มมูลค่า 6 แสนล้าน ปูทางซื้อขายคาร์บอนเครดิต

 

“โดยเฉพาะเอกชนก็พยายามที่จะทำความเข้าใจ ซึ่งทุกครั้งที่ได้มีโอกาสคุยกัน ไม่ว่าจะเป็นหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ก็จะพูดตลอดว่า เราไม่ได้ภูมิใจเลยว่า เราส่งออกสินค้าเกษตรเยอะขึ้น แต่จะภูมิใจก็ต่อเมื่อขายแล้วมีผลกำไร และยอดส่งออกที่เพิ่มขึ้นเมื่อผันมาเป็นรายได้ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ก็อยากให้ภาคเอกชนคำนึงถึงตรงนี้ด้วย และถ้าเป็นไปได้อยากจะให้ทำเกษตรพันธสัญญา ซึ่งในภาคเอกชนก็มีคนที่อยากจะช่วยเหลือเกษตรกรจริงและสร้างความเข้มแข็งให้กับพี่น้องเกษตรกร”
 

"ปาล์ม-ข้าว" มีหลายหน่วยงานดูแล

ส่วนปัญหาราคาปาล์มนํ้ามัน จะอยู่ในความดูแลของคณะกรรมการนโยบายปาล์มนํ้ามันแห่งชาติ (กนป.) ที่ผ่านมาในอดีตเวลาราคาตกตํ่า ก็จะใช้กองทุนนํ้ามันเชื้อเพลิงปรับสัดส่วนผสมนํ้ามันดีเซลจาก B5 เป็น B7 ก็ต้องเสนอผ่านไปที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ว่ามีความคิดเห็นอย่างไร เพราะการไปเพิ่มสัดส่วนการผสมจะไปกระทบกับราคานํ้ามัน ส่งผลทำให้ผู้บริโภคต้องมาแบกภาระเพิ่มขึ้น ถามว่าจำเป็นถึงจุดนั้นหรือยัง ก็ต้องไปพูดคุยหารือกัน

 

 

สั่งลุย “โฉนดต้นยาง-ต้นไม้” เพิ่มมูลค่า 6 แสนล้าน ปูทางซื้อขายคาร์บอนเครดิต

ส่วนในเรื่องข้าวบริหารโดยคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ซึ่งจะเห็นว่าแต่ละพืชมีคณะกรรมการบริหารอยู่ แต่ก็มีสินค้ายางพารา ที่มีกฎหมาย มีหน่วยงาน (การยางแห่งประเทศไทย) ที่กำกับดูแลสามารถที่จะบริหารได้อย่างเบ็ดเสร็จ จึงสามารถควบคุมผลผลิต (ซัพพลาย) ได้ 

“ยางพารา ถ้าซัพพลายล้น สามารถสั่งลดซัพพลายได้ทันที ยกตัวอย่างโครงการชะลอการเลื่อนกรีดยางออกไป 1 เดือน จากปกติชาวสวนยางเปิดกรีดเดือนพฤษภาคม ก็เลื่อนออกไปเป็นเดือนมิถุนายน เป็นต้น ซึ่งก็ได้ส่งผลทำให้ราคายางปรับตัวดีขึ้น จากผู้ซื้อได้เร่งซื้อตุนเพิ่มขึ้น และดันราคาให้สูงขึ้น”

 

 

แจกโฉนดต้นไม้ยาง คํ้าประกันเงินกู้

นอกจากนี้ยังได้มอบนโยบายให้การยางแห่งประเทศไทย(กยท.) ในการออกโฉนดต้นยางพาราในพื้นที่สวนยางที่มีเอกสารสิทธิ์ตามกฎหมาย จำนวน 11.17 ล้านไร่ ตามแผน 2 ปี หลังจากให้ไปดูแลพี่น้องเกษตรกรในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ให้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายก่อน เพื่อจะสามารถออกโฉนดต้นยางได้ จนครบทั้ง 22 ล้านไร่ทั่วประเทศ เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งสินเชื่อจาก ธ.ก.ส. ที่ได้จัดทำบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) ในการรับโฉนดต้นยางพาราเป็นหลักประกันสินเชื่อตาม พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558

ทั้งนี้จะทำให้เกษตรกรเข้าถึงสินเชื่อไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 (880,000 ราย) จากเป้าหมายการออกโฉนดต้นยางพาราในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ โดยมูลค่าต้นยางพาราเฉลี่ย ไร่ละ 27,000 บาท ธ.ก.ส.จะพิจารณาให้สินเชื่อไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของมูลค่าไม้ยางพารา ตามหลักเกณฑ์ของ ธ.ก.ส. โดยมูลค่าของต้นยาง ตั้งแต่อายุ 7 ปีขึ้นไป มีมูลค่าเริ่มที่ 270 บาทต่อต้น และสูงสุดอายุต้นยาง 30 ปี มูลค่ายาง 660 บาทต่อต้น

สั่งลุย “โฉนดต้นยาง-ต้นไม้” เพิ่มมูลค่า 6 แสนล้าน ปูทางซื้อขายคาร์บอนเครดิต

​“โฉนดต้นยางจะตอบโจทย์แก้ปัญหาในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นไฟป่าจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน เพราะต้นยางแต่ละต้นมีเจ้าของ โดยเกษตรกรจะต้องดูแลอย่างดี หากปล่อยให้ไฟไหม้สวนยางเกษตรกรก็จะสูญเสียรายได้ นอกจากนี้การปลูกสร้างสวนยางก็เปรียบเสมือนการปลูกป่า ช่วยเพิ่มออกซิเจน ลดฝุ่น PM2.5 ทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น รวมทั้งยังทำให้เศรษฐกิจชุมชนมีการขยายตัว เกษตรกรมีรายได้ที่ดีขึ้น มีความมั่นคงในอาชีพการทำสวนยางอย่างยืน ซึ่งโฉนดสวนยางนั้นจะเพิ่มมูลค่าให้กับต้นยางอย่างน้อยเฉลี่ยประมาณไร่ละ 27,000 บาท ถ้าออกโฉนดต้นยางได้ครบ 22 ล้านไร่ จะทำให้ต้นยางมีมูลค่ารวมถึง 500,000-600,000 ล้านบาท”

 

โฉนดต้นไม้ ในพื้นที่ ส.ป.ก. เพิ่มมูลค่าที่ดิน

นอกจากนี้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก. ) มีแนวคิดที่จะเพิ่ม สินทรัพย์ต้นไม้สามารถใช้เป็นหลักประกันในระบบสินเชื่อได้ เป้าหมายพื้นที่ ส.ป.ก. นำร่อง 1.6 ล้านไร่ (ที่มีการส่งเสริมปลูกต้นไม้ และพื้นที่ของเกษตรกรมีการปลูกต้นไม้อยู่แล้วด้วยตนเอง) ซึ่งต้องเป็นพันธุ์ไม้ 58 ชนิด ตามบัญชีแนบท้ายพระราชบัญญัติสวนป่า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 หรือ พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2562 เช่น ไม้สัก ถ้ามีเส้นรอบวง 66.31 เซนติเมตร (ซม.) มีมูลค่า 1,348 บาท เป็นต้น

 

สั่งลุย “โฉนดต้นยาง-ต้นไม้” เพิ่มมูลค่า 6 แสนล้าน ปูทางซื้อขายคาร์บอนเครดิต

 

สรุปทั้ง 2 โครงการ ทั้ง "โฉนดต้นไม้ยาง และโฉนดต้นไม้" จะเป็นการยกระดับมูลค่าที่ดินและสินทรัพย์ของเกษตรกรบนที่ดิน เพื่อเพิ่มช่องทางการสร้างรายได้เพื่อปูทางไปสู่การซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้ในอนาคต ซึ่งตามเป้าหมายของประเทศไทยจะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 (2593)และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี ค.ศ 2065 (2608)

 

หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,095 วันที่ 11 - 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568