In Brief
นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธานชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ประเทศไทย ลาว และเมียนมา เปิดเผยในงานสัมมนา A Call for Adaptation The Sustainability in Trade & Industry” จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ ร่วมกับ Sustainability Expo 2025 หรือ SX ช่วง Collab Talk: Infrastuckture for Green City ว่า ความสำเร็จของบริษัทฯ ในการเป็น The World’s Most Sustainable Company อันดับ 1 สองปีซ้อน (จาก Corporate Knights และ S&P Global) พิสูจน์ว่าความยั่งยืนเป็นแกนหลักของธุรกิจอย่างแท้จริง
สำหรับภารกิจลดคาร์บอน 734 ล้านตัน และห่วงโซ่อุปทานสีเขียว ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้วาง Road Map เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 โดยมุ่งเน้นการช่วยพันธมิตรลดการปล่อยคาร์บอนอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ.2021 บริษัทฯ ได้ช่วยพันธมิตรและลูกค้า ลดหรือหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไปแล้วถึง 734 ล้านตัน จากเป้าหมาย 800 ล้านตัน ภายในสิ้นปีค.ศ. 2025
นายมงคล กล่าวต่อว่า บริษัทฯ ได้นำเทคโนโลยีของตนเองเข้าไปช่วยซัพพลายเออร์ 1,000 รายแรก ในการลดคาร์บอนในการดำเนินงาน ซึ่งส่งผลให้ ลดคาร์บอนในห่วงโซ่อุปทานได้ถึง 48% จากค่าพื้นฐาน (Baseline)
ขณะเดียวกัน Smart Technology จะเป็นกุญแจขับเคลื่อน Green City โดยบริษัทฯ มองเห็นความสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐในการใช้ข้อมูลและพัฒนา Smart Grid โดยพร้อมนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศ โดยเน้นที่ 3 เสาหลัก ดังนี้
1.Smart Grid แพลตฟอร์มบริหารพลังงาน โดย Data & Efficiency: Smart Grid เป็นแพลตฟอร์มหลักที่ต้องอาศัย ข้อมูล (Data) เรียลไทม์ในการวิเคราะห์เพื่อสร้างประสิทธิภาพสูงสุด (Efficiency) ในการจัดการพลังงานและรับมือกับพลังงานหมุนเวียนที่ควบคุมไม่ได้ (Intermittent)
ขณะที่ระบบปฏิบัติการบนแพลตฟอร์มเดียว ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ทุกระบบพลังงาน ตั้งแต่การผลิต การจ่าย จนถึงการใช้สามารถทำงานสอดคล้องกัน (Harmonize) บนแพลตฟอร์มเดียว เพื่อความมั่นคงและประสิทธิภาพของประเทศ
2.Smart Transportation ขนส่งประสิทธิภาพสูง โดยบริษัทฯ พร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ EV Charging Infrastructure และนำ Energy Management Solution มาใช้กับ ระบบรางไฟฟ้า (Electric Rail) เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือสูงสุดในการบริการผู้โดยสาร
3.Smart Building อาคารที่เป็น Prosumer ทั้งนี้ในอนาคตจะทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตและผู้บริโภคที่ผลิตพลังงานเองได้สามารถเชื่อมต่อกับ Smart Grid เพื่อบริหารจัดการพลังงานโดยรวม
นายมงคล กล่าวต่อว่า โซลูชันที่มุ่งเน้น Data and Energy Management เพื่อทำให้อาคารเป็น Energy Efficient Building ซึ่งตอกย้ำความสำเร็จด้วยกรณีศึกษาระดับโลก ทั้งนี้บริษัทฯ ได้นำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญไปใช้ในโครงการสำคัญ เช่น ระบบรถไฟฟ้าเซี่ยงไฮ้ที่สร้างระบบบริหารจัดการพลังงานที่ทำให้อัตรา Reliability และ Efficiency สูง รองรับผู้โดยสารกว่า 10 ล้านคนต่อวัน พร้อมสร้าง Ecosystem ในท้องถิ่น
ส่วนอาคาร The Edge Dubai เป็นอาคารสำนักงานใหญ่ภูมิภาคซึ่งเป็นอาคารต้นแบบที่ใช้เทคโนโลยีของบริษัทฯที่ สามารถประหยัดพลังงานได้ถึง 37% และเป็นศูนย์นวัตกรรมเพื่อถ่ายทอดความรู้อีกด้วย
นายมงคล กล่าวต่อว่า ตลาดประเทศไทยมีความตื่นตัวสูงมากในเรื่อง Sustainability ซึ่งการปรับตัวสู่ Low Carbon ไม่ใช่แค่การลดคาร์บอน แต่ยังเป็นการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจในเชิงเศรษฐกิจด้วย
อย่างไรก็ดีบริษัทฯ พร้อมนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าสนับสนุนทั้งภาครัฐและเอกชนไทยในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน
"การวางแผนและทำงานร่วมกันในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ Smart Grid เข้ามาใช้จะต้องผ่านกระบวนการคิดร่วมกันระหว่างผู้ใช้งานและผู้ให้บริการ เพื่อให้การใช้งานเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้” นายมงคล กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง