In Brief
นายพิศณุ ตันติถาวร รองผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (ยุทธศาสตร์องค์กรและความยั่งยืน) กล่าวในหัวข้อ "MEA'S POWER FOR THE FUTURE : นวัตกรรมพลังงาน เพื่อมหานครยั่งยืน (ALIGNING WITH SDGs)" ในงาน SUSTAINABILITY EXPO 2025 : พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก Adaptation & Collaboration “ปรับตัวและร่วมมือ สร้างสมดุลเพื่อโลกที่ยั่งยืน” วันที่ 29 กันยายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)
นายพิศณุ กล่าวว่า ประเด็นเรื่องพลังงานเป็นพื้นฐานทุกอย่างของความยั่งยืน และการจัดการพลังงานในเมืองใหญ่ถือเป็นภารกิจสำคัญที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หากต้องการแก้ไขปัญหา Climate Change โดยวิสัยทัศน์ของ MEA จึงมุ่งเน้นการพัฒนาเมืองให้ก้าวหน้าไปโดยใช้พลังงานไฟฟ้า ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยความตั้งใจที่จะใช้ทรัพยากรของโลกให้น้อยที่สุด
MEA ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้จัดจำหน่ายไฟฟ้า โดยเปรียบเสมือนโลจิสติกส์ด้านไฟฟ้า มีหลักการสำคัญคือการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้ได้น้อยที่สุดในขบวนการขนส่งไฟฟ้า หนึ่งในโครงการสร้างความยั่งยืนเชิงรูปธรรมที่เห็นผลชัดเจนคือ โครงการนำสายไฟฟ้าลงดิน MEA ชี้ว่า สายไฟฟ้าส่วนใหญ่มักจะไม่ถูกกับต้นไม้ ดังนั้นการนำสายไฟลงดินจึงทำให้ต้นไม้สองข้างทางสามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่ และทำให้หลายพื้นที่ดูเขียวชอุ่มและสวยงาม
ปัจจุบัน MEA ได้นำสายไฟฟ้าลงดินในย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพมหานครไปแล้วเกือบ 80% ครอบคลุมพื้นที่หลัก ๆ อย่างสีลม สยาม พหลโยธินถึงจตุจักร และเพชรบุรี
ทั้งนี้ MEA มีเป้าหมายที่จะนำสายไฟฟ้าลงดินอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ กฟน. รวมระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของระบบจำหน่ายและทำให้เมืองสวยงามมากขึ้น
MEA พยายามนำ นวัตกรรมด้านพลังงาน เข้ามาช่วยในการขับเคลื่อน โดยส่งเสริมให้ครัวเรือนต่าง ๆ ติดตั้ง โซลาร์รูฟท็อป (Solar rooftop) ซึ่งเป็นลักษณะของ Green Energy ที่ช่วยประหยัดพลังงาน
ด้านความปลอดภัย MEA เน้นบทบาทในการให้ความรู้และการออก มาตรฐานเพื่อความปลอดภัย ในการติดตั้งโซลาร์เซลล์ เนื่องจากมองว่าการใช้พลังงานสะอาดแล้วขาดความปลอดภัยอาจเป็นอันตรายต่อประชาชนได้
นอกจากนี้ องค์กรยังพยายามขับเคลื่อนเรื่อง รถ EV โดยการติดตั้งสถานีชาร์จ (EV Charger) ร่วมกับพันธมิตร เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการเติมไฟให้กับรถ รวมถึงการตรวจสอบและอบรมเรื่องความถูกต้องและมาตรฐานของเครื่องชาร์จ EV ที่บ้าน
ตลอด 30 กว่าปีที่ผ่านมา MEA ได้พัฒนาระบบหลังบ้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการจ่ายไฟในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใช้ไฟฟ้าประมาณ 30% ของปริมาณการบริโภคของประเทศ การพัฒนานี้รวมถึงการนำ AI เข้ามาช่วยในการจ่ายไฟ และการเปลี่ยนระบบศูนย์ควบคุม (SCADA) ให้ทันสมัยขึ้น เพื่อลดจำนวนครั้งและระยะเวลาที่ไฟดับ
นอกจากนี้ MEA ได้นำอุปกรณ์ที่เรียกว่า Low Loss เข้ามาใช้ในระบบไฟฟ้า เพื่อลดค่าสูญเสียพลังงานที่เกิดเป็นความร้อนไประหว่างทาง ซึ่งถึงแม้จะมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนสูงขึ้น แต่ก็ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเพิ่มความคุ้มค่าโดยรวมของระบบ
MEA ได้ร่วมกับกระทรวงพลังงานและอีก 2 การไฟฟ้า ศึกษาแนวทางการปรับเปลี่ยนการผลิตไฟฟ้าของประเทศ ซึ่งปัจจุบันส่วนใหญ่มาจากก๊าซธรรมชาติ (Brown Energy)
ทั้งนี้ MEA เห็นว่าจิตสำนึกเป็นเพียงก้าวแรก แต่ต้องมี กลไกภาครัฐ (Hard side) เข้ามาขับเคลื่อนไปพร้อมกัน โดยอาจเป็นรูปแบบของแรงจูงใจ (incentive) หรือบทลงโทษ
อย่างไรก็ตามประเทศไทยกำลังจะมี พระราชบัญญัติ Climate Change ออกมาในอนาคต ถือเป็น "จุดไม้ขีดก้านแรก" ที่ดี ที่จะทำให้ทุกคนต้องเข้ามาอยู่ในกรอบและสร้างความยั่งยืนได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง