net-zero

กรมลดโลกร้อน เล็งชง ครม.ไฟเขียว NDC 3.0 ปรับเป้า Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี

In Brief

  • กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กรมลดโลกร้อน) เตรียมเสนอแผนการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับที่ 3 (NDC 3.0) ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา เพื่อปรับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ให้เร็วขึ้น 15 ปี จากเดิมปี พ.ศ. 2608 เป็นปี พ.ศ. 2593
  • แผน NDC 3.0 จะเปลี่ยนวิธีการกำหนดเป้าหมายเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากระดับปี 2562 (Absolute Emissions) แทนการเทียบกับกรณีปกติ (BAU) โดยตั้งเป้าลดการปล่อยลง 109.2 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าภายในปี 2578
  • การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะมุ่งเน้นใน 4 ภาคส่วนหลัก ได้แก่ พลังงาน, อุตสาหกรรม, การจัดการของเสีย และเกษตร โดยภาคพลังงานมีเป้าหมายลดสูงสุดผ่านการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน ยุติการใช้ถ่านหิน และส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV)

ประเทศไทยแสดงความมุ่งมั่นและตระหนักถึงความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยการเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change : UNFCCC) และความตกลงปารีส (Paris Agreement)

โดยได้กำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ หรือเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution : NDC) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพันธกรณีระหว่างประเทศในการแสดงความร่วมมือที่จะควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลก และจะต้องจัดทำแผนส่งต่อสำนักเลขาธิการกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในทุก 5 ปี โดยแผนฉบับที่ 2 หรือ NDC 3.0 จะต้องเสนอต่อสำนักเลขาธิการของ UNFCCC ก่อนการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 (COP30) ณ สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2568 นี้

นายศิวัช แก้วเจริญ ผู้อำนวยการกองขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจก กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวในงานเสวนา “แผนพลังงานชาติ : โอกาสหรือวิกฤต” ร่วมจัดโดยสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย(อาร์อี 100) กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน และ บริษัท Clarion Events จำกัด ว่า

หลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เรียบร้อยแล้ว กรมฯจะเร่งนำเสนอ NDC 3.0 ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบ เพื่อส่งให้ UNFCCC ก่อนที่จะมีการประชุม COP30 ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2568 นี้

ทั้งนี้ NDC 3.0 จะเปลี่ยนรูปแบบการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก ที่เปรียบเทียบกับกรณีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามปกติ ที่ไม่มีการดำเนินมาตรการลดก๊าซเรือนกระจก (Business as Usual: BAU) ไปเป็นการเปรียบเทียบกับระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจริง ณ ปี 2562 หรือ Absolute Emissions Reduction Target ครอบคลุมทุกภาคส่วนเศรษฐกิจ 

โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมลง 109.2 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2​e) ภายในปี 2578 เป็นในส่วนที่ไทยดำเนินการเอง ได้ 76.4 MtCO2e และจากการขอรับการสนับสนุนจากต่างประเทศ (Conditional Target) อีก 32.8 MtCO2e ซึ่งหากไทยได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ถึง 60% จากปีฐานที่ปล่อยอยู่ที่ 379.2  MtCO2e

กรมลดโลกร้อน เล็งชง ครม.ไฟเขียว NDC 3.0 ปรับเป้า Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี

เมื่อรวมกับเป้าหมายการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์จากที่ดิน (LULUCF) ที่คาดว่าจะสามารถดูดกลับได้ ไม่น้อยกว่า 118 MtCO2e จะส่งผลให้ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ ไม่เกิน 152 MtCO2e ภายในปี 2578 และจะทำให้ประเทศไทยสามารถปรับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์(Net Zero) ได้เร็วขึ้นมาเป็นปี 2593 จากเดิมที่กำหนดไว้ปี 2608

นายศิวัช กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ NDC 3.0 มุ่งเน้นไปที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบไม่มีเงื่อนไข ใน 4 ภาคส่วนหลัก ได้แก่ พลังงาน, กระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ (IPPU), การจัดการของเสีย และภาคการเกษตร ซึ่งจะต้องได้รับการบูรณาการจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคพลังงานและคมนาคมขนส่ง ที่มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงกว่าภาคอื่น ๆ

ดังนั้น ในการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าหรือ PDP ที่อยู่ระหว่างการดำเนินงาน จะต้องดำเนินการไปให้สอดรับกับ NDC 3.0 ที่มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดที่ 64.7 MtCO2​e คิดเป็น 59% ของเป้าหมายทั้งหมด ผ่านมาตรการสำคัญ อาทิ การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy หรือ RE) ให้สูงกว่า 60% ของการผลิต การยุติการใช้ถ่านหินและลดการใช้ก๊าซธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง การนำเทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) มาใช้ และการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และพลังงานไฮโดรเจน เป็นต้น

ภาคกระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ (IPPU) มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1.5 MtCO2​e หรือ 1% ของเป้าหมาย โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก และการใช้สารทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภาคการจัดการของเสียมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 5.1 MtCO2​e หรือ 5% ของเป้าหมายโดยเน้นการจัดการของเสียชุมชนและนํ้าเสียอุตสาหกรรม

รวมถึงการจัดการขยะอาหาร (Food Waste) อย่างมีประสิทธิภาพ และภาคการเกษตรมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 5.1 MtCO2​e หรือ 5% ของเป้าหมาย มีมาตรการสำคัญได้แก่ การจัดการนาข้าวแบบเปียกสลับแห้ง (AWD) เพื่อลดการปล่อยมีเทน และการจัดการฟางข้าว รวมถึงการผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์

ขณะที่การดำเนินงานแบบมีเงื่อนไข เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้อีก 32.8 MtCO2e นั้น จะต้องได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศในเทคโนโลยีที่มีการลงทุนสูง เช่น ภาคพลังงานและคมนาคมขนส่งได้แก่ เทคโนโลยีไฮโดรเจนในภาคการผลิตไฟฟ้าและอุตสาหกรรม เทคโนโลยีกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ (BESS) เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ในพื้นที่อ่าวไทยตอนบน โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactors: SMR) ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าขั้นสูง (xEVs/Advanced EVs)

ภาค IPPU เช่น เทคโนโลยีการใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (CCU) การผลิตปูนซีเมนต์แบบปล่อยคาร์บอนตํ่า การใช้เตาเผาที่มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูง (Energy-Efficiency Furnace) การใช้สารทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการใช้เทคโนโลยีทำลายสารทำความเย็น เป็นต้น