หวั่น ‘โลกร้อน’ ทุบเศรษฐกิจพัง 18 ล้านล้านดอลลาร์ เตือนไทยรับมือด่วน

22 ก.ย. 2568 | 09:55 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ก.ย. 2568 | 10:24 น.

วงสัมมนา มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ผ่าวิกฤตโลกทางออกไทย ชี้ Climate Change ทุบเศรษฐกิจพัง 18 ล้านล้านดอลลาร์ แรงกว่าโควิด 6 เท่า เตือนไทยรับมือด่วน แนะผูกระบบเศรษฐกิจคู่ระบบนิเวศ

KEY

POINTS

  • วงเสวนามูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ประเมินว่าหากอุณหภูมิโลกสูงขึ้น 3.2 องศาเซลเซียสภายในปี 2050 จะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจทั่วโลกถึง 18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รุนแรงกว่าวิกฤตโควิด-19 ถึง 6 เท่า
  • สำหรับประเทศไทย คาดว่าหากไม่มีการปรับตัวรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจส่งผลกระทบต่อ GDP ของประเทศถึง 44% และกระทบภาคการส่งออก 45%
  • ภาคธนาคารเตือนให้ทุกภาคส่วนเร่งปรับตัว โดยธนาคารกสิกรไทยได้เพิ่มเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อสีเขียวเพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาโลกร้อนและการลดคาร์บอน 5 แสนล้าน

วันนี้ (22 กันยายน 2568) นายกรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยในงาน MFLF Sustainability Forum 2025 เรื่อง “วิกฤตโลก ทางออกไทย” จัดโดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ว่า ผลกระทบจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ (Climate Change) ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หากทุกฝ่ายยังปล่อยไว้และไม่ทำอะไร จะก่อให้เกิดการสูญเสียทางด้านต้นทุนทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล 

เบื้องต้นจากงานวิจัยล่าสุดของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) มีการประเมินว่า หากอุณหภูมิของโลกร้อนขึ้น 3.2 องศา ในปี ค.ศ.2050 จะก่อให้เกิดความเสียหายประมาณ 18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 18% ของ DGP โลก สูงกว่าเมื่อเทียบกับช่วงที่เกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่สูญเสียไปประมาณ 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 3% ของ DGP โลก หรือรุนแรงกว่าถึง 6 เท่าตัว

"กรณีนี้หากเกิดขึ้นกับประเทศไทย เราเชื่อว่าจะกระทบประมาณ 44% ของ GDP ปี หรือกระทบกับภาคการส่งออก  45% ถ้าเกิดเราไม่ปรับตัว สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่ปรับตัว ถ้าเราเป็นภาคธนาคาร คือถ้าลูกค้าเราไม่ปรับตัว ไม่เปลี่ยนแปลง เราจะหนี้เสียเพิ่มขึ้น ฉะนั้นเราอยู่ไม่ได้เหมือนกันครับ แล้วเราจะแข่งขันในเวทีโลกที่เปลี่ยนไปกันได้อย่างไร" นายกรินทร์ กล่าว

นายกรินทร์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ใช้เครื่องมือทางการเงินเข้ามาให้สินเชื่อเพื่อสนับสนุนให้เกิดการลดการปล่อยคาร์บอน หรือให้สินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาโลกร้อน โดยในปี 2023 นั้นทั่วโลกมีการจัดสรรเงินทุนระดับโลกที่จัดสรรเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Global climate finance) ทั้งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือการปรับตัวเพื่อรับผลกระทบ ในวงเงินถึงประมาณ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นประมาณ 1.7% ของ GDP โลก

 

หวั่น ‘โลกร้อน’ ทุบเศรษฐกิจพัง 18 ล้านล้านดอลลาร์ เตือนไทยรับมือด่วน

 

อย่างไรก็ตามในส่วนนี้คาดว่าทั่วโลกจะมีวงเงินที่จัดสรรมาให้กับ Global climate finance จะเพิ่มขึ้นอีกมาก โดยคาดว่าในปี 2030 วงเงินส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 4.4 – 6.3 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 2 – 3 เท่า ขณะที่ในปี 2031 – 2050 จะเพิ่มขึ้นเป็น 7.1 – 9.2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4  -5 เท่าจากในปัจจุบัน 

ทั้งนี้คาดว่าเงินที่จะถูกใช้ไปในอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะเปลี่ยนจากช่วงปี 2023  ที่เงินทุนกว่า 72% ไปลงทุนในส่วนของภาคพลังงานและการขนส่ง (energy and transportation) ไปสู่การปล่อยสินเชื่อ และลงทุนในส่วนของการลดคาร์บอนจากภาคการผลิต จากเทรนด์ความต้องการการสนับสนุนทางการเงินเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน

นายกรินทร์ กล่าวว่า ธนาคารได้ตรวจสอบข้อมูลลูกค้าเป็นรายอุตสาหกรรม เพื่อพิจารณาแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อสีเขียว เพราะที่ผ่านมาพบว่ามีความต้องการขอสินเชื่อในลักษณะดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป้าหมายเดิมคาดว่าจะปล่อยสินเชื่อได้ประมาณ 2 แสนล้านบาทในปี 2030 แต่ล่าสุดมีการขอเข้ามาแล้ว 1.65 แสนล้านบาท และน่าจะถึงเป้าหมาย 2 แสนล้านบาทในปี 2569 

"ความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทำให้ตอนนี้ ธนาคารเตรียมปรับเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อด้านสิ่งแวดล้อม ในปี 2030 จาก 2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 5 แสนล้านบาท และจะผลักดันเงินเข้าสู่ระบบมากขึ้น และสิ่งที่ทำคู่กันคือการขยายไปกลุ่มเล็กลงมา หรือกลุ่มเอสเอ็มอีมากขึ้น จากเดิมที่ปล่อยให้รายใหญ่ เพราะกลุ่มนี้ต้องการโซลูชันเรื่องของสิ่งแวดล้อมมากขึ้น"

 

หวั่น ‘โลกร้อน’ ทุบเศรษฐกิจพัง 18 ล้านล้านดอลลาร์ เตือนไทยรับมือด่วน

 

นายปิยะชาติ อิศรภักดี ประธานร่วม BRANDi Institute of Systematic Transformation (BiOST) กล่าวว่า โลกกำลังเผชิญกับความย้อนแย้งที่ปัญหาสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมทวีความรุนแรงขึ้น แต่การลงมือทำยังติดอยู่กับการแก้ปัญหาระยะสั้น 

โดยปัญหาหลักของระบบเศรษฐกิจปัจจุบันคือ สมการการเติบโตของโลกไม่ได้รวมสิ่งที่เรียกว่า Ecosystem Service หรือการเติมต้นทุนจากระบบนิเวศเกี่ยวกับการพัฒนาที่นั่งยืนเข้าไปในระบบเศรษฐกิจด้วย ทั้งที่เป็นต้นทุนที่ใช้ในการทำธุรกิจและขับเคลื่อนเศรษฐกิจมาโดยตลอด ทำให้การเติบโตที่ผ่านมาเป็นการเติบโตที่ทำให้อนาคตอายุสั้นลงแทนที่จะเกิดการพัฒนามากขึ้น

ทั้งนี้ได้เสนอว่าการเติบโตยุคใหม่ต้องสร้างอนาคตที่แท้จริงใน 3 ระดับ คือ ระดับมหภาค นโยบายต้องเห็นความสัมพันธ์ระหว่างความยั่งยืนกับเศรษฐกิจเป็นเรื่องเดียวกัน ต่อมา คือ ระดับตลาด ต้องสร้าง Development Market หรือตลาดที่มองว่าการแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม คือโอกาสทางธุรกิจใหม่ (New Frontier) และระดับจุลภาค ด้วยการปลูกฝังให้การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตในทุก ๆ วันเป็นส่วนหนึ่งของความยั่งยืน

“การมีผู้นำธุรกิจในโลกสมัยใหม่ จำเป็นต้องมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ที่ดี และการพัฒนาให้เกิดผลอาจจะเริ่มต้นด้วยการทำสิ่งเล็ก ๆ แต่ต้องทำทุกวัน เพื่อให้มีผลเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป” นายปิยะชาติ ระบุ