net-zero

กฟผ.ดันโรงไฟฟ้าสูบกลับ เขื่อนจุฬาภรณ์ 801 MW มูลค่า 3 หมื่นล้าน สร้างมั่นคงไฟฟ้า ช่วยลดคาร์บอน

In Brief

  • กฟผ. เดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับที่เขื่อนจุฬาภรณ์ กำลังผลิต 801 เมกะวัตต์ ใช้งบลงทุนประมาณ 31,300 ล้านบาท
  • มีเป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงให้ระบบไฟฟ้าของประเทศ โดยทำหน้าที่เป็นแหล่งกักเก็บพลังงานขนาดใหญ่ (แบตเตอรี่) รองรับพลังงานหมุนเวียน
  • โครงการนี้จะช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในการผลิตไฟฟ้าช่วงความต้องการสูงสุด ซึ่งส่งผลให้สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้
  • โครงการผ่านการอนุมัติด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้ว คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2577 หลังใช้เวลาก่อสร้าง 8 ปี

ในแผนการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านสมาร์ทกริดของประเทศไทย ระยะปานกลาง พ.ศ. 2565 – 2574 จัดทำโดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) มีนโยบายส่งเสริมให้ระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) รองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) เพื่อจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า

รวมถึงเพิ่มความยืดหยุ่นและความมั่นคงในระบบโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศ จากการเพิ่มขึ้นของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน และแนวโน้มการผลิตไฟฟ้าใช้เองของ ผู้ใช้ไฟฟ้า ผ่านการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ เขื่อนจุฬาภรณ์ เขื่อนวชิราลงกรณ และเขื่อนศรีนครินทร์ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) รวมกำลังผลิต 2,493 เมกะวัตต์ 

ต่อมาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำสูบกลับ ได้มีการปรับแผนและถูกนำมาบรรจุอยู่ในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือ PDP 2024 ที่ผ่านความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนเมื่อช่วงกลางปี 2567 ที่ผ่านมา รวมกำลังผลิตราว 2,472 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย

โรงไฟฟ้าพลังน้ำสูบกลับ เขื่อนจุฬาภรณ์ กำลังผลิต 801 เมกะวัตต์ (MW) หรือ 6,408 เมกะวัตต์-ชั่วโมง( MWh) เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2577 โรงไฟฟ้าพลังน้ำสูบกลับ เขื่อนวชิราลงกรณ กำลังผลิต 891 เมกะวัตต์ หรือ 7,128 เมกะวัตต์-ชั่วโมง) คาดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ ปี 2579 และโรงไฟฟ้าพลังน้ำสูบกลับ เขื่อนกระทูน กำลังผลิต 780 เมกะวัตต์ หรือ 6,240 เมกะวัตต์-ชั่วโมง คาดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2580

ล่าสุดนายวิภู พิวัฒน์ รองผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ได้นำสื่อมวลชนติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังน้ำสูบกลับเขื่อนจุฬาภรณ์ และเปิดเผยว่า โครงการดังกล่าว เป็นหนึ่งในแผนพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน( Energy Storage System  (ESS) ขนาดใหญ่ของประเทศไทย กำลังผลิต 801 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุนโครงการประมาณ 31,300 ล้านบาท

วิภู พิวัฒน์ รองผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวได้จัดทำรายงานศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(อีไอเอ) ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมเมื่อเมษายน 2567 ที่ผ่านมา และอยู่ระหว่างดำเนินการศึกษาออกแบบ และจัดทำทีโออาร์ตามขั้นตอน ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา หากได้รับอนุมัติ  คาดว่าจะใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 8 ปี

นายวิภู กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำสูบกลับแห่งนี้ จะใช้อ่างเก็บน้ำเขื่อนจุฬาภรณ์ที่กั้นลำน้ำพรม มีความจุ 163.75 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นอ่างเก็บน้ำตอนบน ส่งน้ำผ่านอุโมงค์ส่งน้ำที่อยู่ใต้ดิน วางท่อส่งน้ำขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 เมตร ความยาวกว่า 3 กิโลเมตร ผ่านเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและใช้อ่างเก็บน้ำเขื่อนจุฬาภรณ์ตอนล่างที่กั้นห้วยน้ำสุ

กฟผ.ดันโรงไฟฟ้าสูบกลับ เขื่อนจุฬาภรณ์ 801 MW  มูลค่า 3 หมื่นล้าน สร้างมั่นคงไฟฟ้า ช่วยลดคาร์บอน

ปัจจุบันมีความจุกว่า 2 ล้านลูกบาศก์เมตร จะขยายความจุของอ่างเพิ่มเป็น 13 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นอ่างเก็บน้ำส่วนล่างกักเก็บน้ำไว้สูบกลับขึ้นไปในช่วงที่มีความต้องการไฟฟ้าต่ำ และปล่อยน้ำผ่านอุโมงค์ส่งน้ำผลิตไฟฟ้าในช่วงที่มีความต้องการไฟฟ้าสูงหรือพีค มีะยะเวลาในการจ่ายพลังงานไฟฟ้าได้ 8 ชั่วโมงที่ Full Load

“โครงการนี้ถือเป็นการใช้ทรัพยากรที่คุ้มค่า และช่วยเพิ่มเสถียรภาพการใช้พลังงานหมุนเวียน ทำหน้าที่เหมือนแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ เพื่อกักเก็บและปั่นไฟฟ้าได้ทันทีที่ต้องการ (โดยใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที) แตกต่างจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนที่ใช้เวลานานถึง 2-4 ชั่วโมงกว่าจะเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้”

นอกจากนี้ โรงไฟฟ้าพลังงานสูบกลับแห่งนี้ ยังมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ต่ำ เมื่อเทียบกับต้นทุนของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนที่ใช้ฟอสซิลเป็นเชื้อเพลิง เนื่องจากความสูงของอ่างเก็บน้ำตอนบนถึงเครื่องกำเนิดไฟฟ้ามีความต่างระดับกันถึง 400 เมตร จึงทำให้มีแรงดันน้ำสูงถึง 30 บาร์ สามารถผลิตไฟฟ้าได้ที่ 1 หน่วยต่อปริมาณน้ำ 1 ลูกบาศก์เมตร เมื่อเทียบกับระดับความสูงของโรงไฟฟ้าสูบกลับลำตะคองที่ต่ำกว่าต้องใช้ปริมาณน้ำถึง 6 ลูกบาศก์เมตร ต่อการผลิตไฟฟ้า 1 หน่วย

ดังนั้น โรงไฟฟ้าสูบกลับแห่งนี้ จึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ลดความไม่แน่นอนไม่เสถียรในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนได้  ช่วยผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดอย่างเต็มศักยภาพ อีกทั้งช่วยลดการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลขนาดใหญ่ เพื่อมารองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าช่วงที่สูงหรือพีค  เป็นการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศได้อีกทางหนึ่ง

นายวิภู กล่าวเสริมอีกว่า นอกจากนี้ กฟผ.อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ขนาดกำลังผลิต 80 เมกะวัตต์ ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มศึกษาวัดปริมาณลม เพื่อหาค่าความเร็วลม บริเวณสั้นเขาในพื้นที่ของเขื่อนจุฬาภรณ์ หากโครงการนี้สามารถเกิดขึ้นได้ จะช่วยให้โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำสูบกลับเขื่อนจุฬาภรณ์ มีความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น จากการนำไฟฟ้าที่ผลิตได้ มาใช้ในการสูบน้ำกลับขึ้นไปอ่างตอนบน ซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่า เมื่อเทียบกับการใช้ไฟฟ้าสูบน้ำในช่วงออฟพีค(ความต้องการใช้ไฟฟ้าต่ำ) ซึ่งการวัดปริมาณลม จะใช้ระยะเวลาศึกษาประมาณ 3 ปี ขึ้นไป ก่อนนำไปสู่การตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย

ปัจจุบัน กฟผ. มีโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ 3 แห่ง ได้แก่ 1.เขื่อนศรีนครินทร์ เครื่องที่ 4 และ 5 จังหวัดกาญจนบุรี กำลังผลิต 360 เมกะวัตต์ 2.เขื่อนภูมิพล เครื่องที่ 8 จังหวัดตาก กำลังผลิต 171 เมกะวัตต์ และ 3.โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา จังหวัดนครราชสีมา กำลังผลิต 1,000 เมกะวัตต์