บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด (INNO POWER) ผู้บุกเบิกด้านนวัตกรรมพลังงานในประเทศไทย ภายใต้การร่วมทุนของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT), บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), และบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) ได้ออกมาเปิดเผยแผนการดำเนินงานเชิงรุก เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการลดคาร์บอนในภูมิภาค ที่พร้อมให้คำปรึกษา วางแผนโรดแมป และนำเสนอโซลูชันด้านพลังงานสะอาดที่เหมาะสมกับธุรกิจ
นายอธิป ตันติวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด เปิดเผยว่า จากที่ประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็น (Net Zero) ส่งผลให้องค์กรหรือหน่วยงานต่าง ๆ ออกมาตอบรับที่จะสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว อีกทั้งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของบริษัทตัวเองในการส่งสินค้าไปต่างประเทศ จากข้อกำหนดทางการค้าใหม่ ๆ ที่เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป(EU) ที่เริ่มกำหนดให้รับเฉพาะสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
กระแสดังกล่าว บริษัท จึงได้ตั้งเป้าหมายระยะยาวที่จะมีทุนจดทะเบียนกว่า 3,000 ล้านบาทภายในปี 2570 จากปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนแล้ว 1,900 ล้านบาท ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นจะเป็น “พันธมิตรพิชิตคาร์บอน” (DECARBONIZATION PARTNER) โดยในปี 2568 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้รวมทั้งปีที่ 478 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโต 40% จากปี 2567 และสูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ 400 ล้านบาท นอกจากนี้ คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิทั้งปีจะอยู่ที่ประมาณ 15 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 10 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้ 128.4 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 9.1 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนโดยเฉพาะในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ที่บริษัทสามารถทำกำไรสุทธิได้ 6.1 ล้านบาท พลิกจากที่เคยขาดทุน 6.1 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2567 ทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 12.2 ล้านบาท
“รายได้ของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 1,055% ตั้งแต่ปี 2565-2567 โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 23.9 ล้านบาทในปี 2565 เป็น 155.4 ล้านบาทในปี 2566 และ 286.3 ล้านบาทในปี 2567 บริษัทสามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้ในปี 2567 ด้วยยอด 3.4 ล้านบาท ซึ่งเร็วกว่าแผนที่วางไว้ถึงหนึ่งปี"
ตลอดระยะเวลที่บริษัทดำเนินงานมา สามารถวัดผลได้จากความสำเร็จ โดยตั้งแต่ปี 2565 ถึง 2567 บริษัทได้สนับสนุนการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ไปแล้ว 2.46 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 บริษัทได้ช่วยลด CO2 ไปแล้ว 0.88 ล้านตัน ซึ่งเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ประมาณ 22 ล้านต้น หรือลดจำนวนรถยนต์บนท้องถนนได้ประมาณ 191,000 คัน ขณะที่ปี 2568 บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ให้ได้ 1.5 ล้านตัน
นายอธิป กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการสำคัญต่าง ๆ ที่บริษัทได้ดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง อาทิ "green pass" แพลตฟอร์มรวบรวมใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (REC) แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นความร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย (KBANK), การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) และ ITRACK (IREC)
การบริการรถโดยสารไฟฟ้า( EV) โดยให้บริการรถโดยสาร EV ใน 3 โครงการ ได้แก่ สำนักงานใหญ่ กฟผ., เขื่อนศรีนครินทร์ และ กฟผ. สำนักงานใหญ่ ที่บริษัทเข้าไปช่วย กฟผ. เปลี่ยนรถรับส่งพนักงานจากรถดีเซลเป็นรถยนต์ EV จำนวน 27 คัน ช่วยประหยัดค่าน้ำมันได้ถึง 6-7 แสนบาทต่อปี เป็นต้น
นายอธิป กล่าวด้วยว่า เพื่อรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อินโนพาวเวอร์ได้วางแผนเชิงรุกสำหรับช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 บริษัทมีแผนที่จะขยายการลงทุนเพิ่มเติมในกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยว การให้บริการยานยนต์ไฟฟ้า (EV Fleet) และการติดตั้งเครื่องชาร์จไฟฟ้าครบวงจร ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทขนส่งขนาดใหญ่ เพื่อเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ EV ในการขนส่งพัสดุ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้
อีกทั้ง ในเดือนตุลาคม 2568 บริษัทจะเปิดบริการ Carbon Credit Aggregator ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรวบรวมคาร์บอนเครดิตจากการชาร์จไฟฟ้าจากเครื่องชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charger) เพื่อนำไปซื้อขายในตลาดคาร์บอน และในระยะต่อไป ยังมีแผนที่จะต่อยอดโครงการนี้ไปยังผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั่วไป โดยทุกระยะทางการขับขี่จะสามารถแปลงเป็นคาร์บอนเครดิตและนำไปขายได้
ที่สำคัญบริษัทได้จัดสรรเงินลงทุน 300 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการลงทุนด้านนวัตกรรมพลังงานสะอาดแก่ SME ที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ให้สามารถลงทุนในช่วงการเปลี่ยนผ่าน นำไปสู่การลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการในระยะยาว
คาดว่าในครึ่งปีหลังนี้จะสามารถดึงลูกค้าใหม่เข้ามาเพิ่มอีก 200 ราย จากที่มีลูกค้าใหม่แล้ว 150 ราย ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เป็นภาคการผลิต สถาบันการเงิน และธุรกิจค้าปลีก นอกจากนี้ บริษัทยังเล็งเห็นโอกาสในการขยายตลาดไปยังกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยว เช่น ร้านอาหารและโรงแรม ที่เริ่มให้ความสำคัญกับสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง