net-zero

WATT'S UP (วัตต์อัพ) แพลตฟอร์ม EV ของกสิกรไทย เชื่อมคน–ธุรกิจ–สิ่งแวดล้อม

เมื่อธุรกิจการเงินผสานภารกิจสิ่งแวดล้อม 'กสิกรไทย' ผลักดัน WATT'S UP แพลตฟอร์ม EV ให้เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างคน–ธุรกิจ–สิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างเมืองสะอาด ลดมลพิษ และหนุนประเทศสู่เป้าหมาย Net Zero

ในวันที่โลกเร่งไปสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ไม่เพียงแต่รัฐบาลและผู้ผลิตยานยนต์ที่ต้องปรับตัว หากแต่ธนาคารกสิกรไทยก็ก้าวเข้ามาด้วยการสร้าง "วัตต์อัพ (WATT'S UP )" แพลตฟอร์มกลางที่ไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีใหม่ แต่คือระบบนิเวศที่เชื่อม คน ธุรกิจ และสิ่งแวดล้อม เข้าด้วยกัน

"วัตต์อัพ (WATT'S UP )"  แอปพลิเคชันที่ให้บริการเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า หลากหลายแบรนด์ ครอบคลุมทั้งการเช่าและซื้อ ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็น คำตอบที่ไม่ใช่แค่เรื่องยานยนต์ แต่คือการออกแบบโมเดลใหม่ของชีวิตและสังคม ภายใต้ความตั้งใจที่จะลดต้นทุนของผู้ใช้ ขณะเดียวกันก็ลดต้นทุนของประเทศในแง่สิ่งแวดล้อม

ดำเนินงานโดย บริษัท เค เอนเนอร์จี พลัส จำกัด บริษัทในเครือ ธนาคารกสิกรไทย WATT'S UP จึงไม่ใช่เพียงโปรดักต์เชิงธุรกิจ แต่ถูกออกแบบให้เป็นหนึ่งใน นวัตกรรมด้าน ESG ที่สะท้อนบทบาทใหม่ของธนาคาร ในโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน

WATT'S UP ไวท์เลเบลแพลตฟอร์ม

ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ผู้ดูแลงานยุทธศาสตร์ นวัตกรรม และ ESG กล่าวกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงสิ่งที่ธนาคารลงมือทำว่า WATT'S UP ถูกออกแบบให้เป็น "ไวท์เลเบลแพลตฟอร์ม" หรือระบบกลางที่ทุกค่ายสามารถเข้ามาใช้งานร่วมกันได้ ทั้งผู้ให้เช่ารถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า (EV bike rental) และไรเดอร์ที่ต้องการทดลองใช้รถพลังงานสะอาด ไม่จำกัดแค่ยี่ห้อเดียวหรือรูปแบบการเช่าแบบตายตัว แต่เปิดทางเลือกหลากหลาย ทั้งเช่ารายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน พร้อมเงื่อนไขการชำระเงินที่ยืดหยุ่น

ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ผู้ดูแลงานยุทธศาสตร์ นวัตกรรม และ ESG

ความพิเศษอยู่ตรงที่ WATT'S UP เป็นแอปพลิเคชันที่สั่งการตู้แบตเตอรี่ได้โดยตรง ให้ไรเดอร์สามารถ "สวอปแบตเตอรี่" ได้สะดวกแทนการรอชาร์จ จุดให้บริการครอบคลุมกรุงเทพฯ และปริมณฑล เฉลี่ยหนึ่งตู้ทุก 4 ตารางกิโลเมตร 

ปัจจุบัน WATT'S UP มีผู้ใช้งานเกือบ 10,000 ราย และมีเครือข่ายสถานีสวอปแบตเตอรี่กว่า 100 จุด ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการก้าวข้าม ช่วงทดลอง (Pilot) มาสู่การสร้างระบบที่ขยายผลได้จริง

พาร์ทเนอร์-Multi-brand Ecosystem บทเรียนจาก ตู้เอทีเอ็ม

หนึ่งในความตั้งใจสำคัญของ WATT'S UP คือ การสร้างระบบที่ไม่ปิดกั้น ไม่ผูกขาด และไม่ทำให้ประเทศต้องแบกรับต้นทุนซ้ำซ้อน ดร.กรินทร์ อธิบายผ่านภาพเปรียบเทียบที่หลายคนคุ้นเคย

เรามุ่งหวังที่จะเป็นตัวกลางเชื่อม ทำให้ประเทศไม่ต้องมาเสียที่เรียกว่า dead cost ผู้ให้เช่าแต่ละยี่ห้อก็ต้องมาซื้อตู้ของตัวเอง จะเหมือนยุคหนึ่งที่เคยเห็นตู้เอทีเอ็ม แบงก์ใครแบงก์มัน คนละสี คนละตู้ ทั้งที่จริง ๆ ระบบคล้ายกัน ถ้าเราทำให้เป็น multi-brand ใช้ร่วมกันได้ ประโยชน์ก็จะเกิดกับทั้งประเทศ

การเปรียบเทียบนี้สะท้อนให้เห็นแกนหลักในเเนวคิดของกสิกรไทยชัดเจน นั่นคือ WATT'S UP ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นคู่แข่งของใคร แต่เพื่อเป็น “ตัวกลาง” ที่ทำให้ผู้เล่นทั้งหมดในอุตสาหกรรมเดินหน้าไปด้วยกัน

เราไม่ใช่ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า เราก็ต้องหาพาร์ทเนอร์ ต้องโน้มน้าวให้พาร์ทเนอร์เข้าร่วม แต่จุดแข็งคือ เราไม่ใช่คู่แข่ง ไม่ได้เป็นผู้ผลิตหรือนำเข้าเอง แต่ต้องการเชื่อมให้ทุกอย่างเกิดได้เร็วขึ้น แล้วทําให้โลเคชันหนึ่งแชร์กันได้ทุกอย่าง

ภาพที่ยกตัวอย่างนี้ยิ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนถึงบทบาทของ WATT'S UP ในฐานะ Facilitator ของระบบนิเวศ ปัจจุบันผู้ให้บริการเช่ารถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ารายใหญ่บางรายเลือกที่จะลงทุนสร้างตู้และแอปพลิเคชันของตนเอง ซึ่งแม้จะดูมีความยืดหยุ่นในแง่มุมของผู้ให้บริการ แต่ในหลายกรณีกลับไม่คุ้มค่า โดยเฉพาะในทำเลที่มีปริมาณการใช้งานไม่หนาแน่น เช่น การตั้งตู้แบตเตอรี่ที่มีล็อกเกอร์ถึง 8 ช่อง อาจถูกใช้งานไม่เต็มประสิทธิภาพ หากไม่มีเลยก็ถือว่าขาดความครอบคลุม แต่ถ้ามีก็ไม่คุ้มทุน

WATT'S UP จึงเข้ามาเติมเต็มในจุดนี้ ด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้ให้บริการสามารถแบ่งปันโลเคชันร่วมกันได้ เช่น การแบ่งตู้หนึ่งตู้ให้ 4 ช่องเป็นของยี่ห้อหนึ่ง อีก 4 ช่องเป็นของอีกยี่ห้อหนึ่ง ทำให้ทุกฝ่าย “วิน-วิน” ทั้งผู้ให้บริการเอและผู้ให้บริการบี ต่างสามารถขยายการครอบคลุมของเครือข่ายได้ โดยไม่ต้องลงทุนซ้ำซ้อนหรือสูญเสียทำเลไปโดยเปล่าประโยชน์

แม้หลายผู้ให้บริการยังคงลังเล แต่บทบาทของกสิกรไทยในฐานะธนาคารกลับทำให้ระบบนี้น่าเชื่อถือมากขึ้น ดร.กรินทร์ ย้ำชัดว่า

เราบอกอยู่แล้วว่าไม่ใช่ผู้ประกอบการ ไม่ใช่ผู้ให้เช่ารถ ไม่ใช่ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า เราเป็นเพียง facilitator ที่จะช่วยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้เร็วขึ้น

Regulator & ความร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย

การสร้างแพลตฟอร์ม WATT'S UP ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของเทคโนโลยีหรือความร่วมมือกับภาคธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันโดยตรงกับบทบาทของ "Regulator" ที่กำกับดูแลสถาบันการเงินอย่าง ธนาคารแห่งประเทศไทย ดร.กรินทร์ เล่าว่า ความท้าทายนี้ไม่ได้อยู่ที่ข้อจำกัด แต่คือการสร้างความเข้าใจร่วมกัน

ต้องเรียกว่าความร่วมมือและการให้โอกาสครับ เราเป็นธนาคาร ฉะนั้นมี regulator ที่ดูแลอยู่ก็คือธนาคารแห่งประเทศไทย ตอนแรกแผนประเทศไทยก็ยังไม่ค่อยแน่นอน เเละเป็นสิ่งที่ธนาคารควรเข้ามาไหม แต่พอเล่าถึงประโยชน์ต่าง ๆ ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ค่อย ๆ เห็นประโยชน์ว่า ถ้าเข้ามาทำให้ทั้งระบบดีขึ้น นาคารแห่งประเทศไทยก็จะค่อย ๆ ปลด หรือค่อย ๆ อนุมัติให้ทำอะไรได้กว้างมากขึ้น”

Social & Environmental Impact ความสำเร็จที่วัดได้จากการเปลี่ยนแปลง

ดร.กรินทร์ เล่าว่า ได้พูดคุยกับไรเดอร์คนหนึ่งซึ่งเคยใช้รถมอเตอร์ไซค์สันดาป ต้นทุนเริ่มต้นต่อวันราว 400 บาท กว่าจะทำงาน 12–16 ชั่วโมงถึงจะเหลือเงินติดมือกลับบ้านเพียง 100–200 บาท แต่พอเปลี่ยนมาเช่ารถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าผ่าน WATT'S UP ต้นทุนเหลือเพียงวันละร้อยกว่าบาท รวมทุกค่าใช้จ่าย ทั้งค่าน้ำมันและค่าซ่อมบำรุง วันไหนหยุดก็ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม

เขาบอกว่าทุกวันนี้เลิกงานเร็วขึ้น จากเดิมกลับบ้าน 3-4 ทุ่ม ตอนนี้ 6 โมงเย็นก็กลับไปกินข้าวกับลูกได้แล้ว ตอนแรกคิดว่าเรื่องสิ่งแวดล้อมจะเป็นประเด็นหลัก แต่พอเจอจริง ๆ สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตเขาคือคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นี่คือประโยชน์ที่เรามองว่าคุ้มค่า แม้รายได้ทางการเงินจะยังไม่ครอบคลุม แต่สิ่งที่สังคมได้ชัดเจนมาก

เช่นเดียวกันกับ ด้านสิ่งแวดล้อม ผลลัพธ์ก็เริ่มเป็นรูปธรรมเช่นกัน เมื่อคำนวณการใช้งานจริง รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 1 คัน สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ราว 700–1,000 กิโลกรัมต่อปี เมื่อสเกลถึงหลักหมื่นคัน ผลที่เกิดขึ้นจะทวีคูณและสะสมจนกลายเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยบนเส้นทางสู่ Net Zero

ดร.กรินทร์สรุปว่า  ESG ไม่ใช่แค่โลกสวย แต่เกิดขึ้นได้จริง และเกิด Social Impact ที่ชัดเจนด้วย

สุดท้ายสิ่งที่จะทำให้ยั่งยืนได้คือต้องเทิร์นสิ่งนี้ให้กลายเป็นธุรกิจ ไม่ใช่ CSR ชั่วคราว ธนาคารไม่ได้หวังผลกำไรมหาศาล แต่หวังว่าวันหนึ่ง WATT'S UP จะเติบโตได้ และพิสูจน์ว่า ESG สามารถกลายเป็นธุรกิจที่ยั่งยืนได้จริง เเละอยากทําให้ภาคธุรกิจ เห็นว่าโลกค่อยๆเปลี่ยน สิ่งแวดล้อม สังคม เทิร์นเป็นธุรกิจที่ยั่งยืนได้

การเปลี่ยนผ่านสู่ EV เมื่อพฤติกรรมผู้ใช้ คือหัวใจสำคัญ

การเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนเครื่องยนต์จากน้ำมันเป็นไฟฟ้า แต่คือการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ใช้โดยตรง ดร.กรินทร์ อธิบายว่า WATT'S UP ต้องเจอกับโจทย์ใหญ่ในการทำให้ผู้บริโภค "กล้าเปลี่ยน"

หนึ่งในอุปสรรคแรก ๆ คือ เรื่อง การเงินและกระแสเงินสด (Cash flow) เดิมทีระบบเช่ารถมอเตอร์ไซค์กำหนดให้ลูกค้าจ่ายล่วงหน้าเป็นแพ็กเกจ 7 วัน หรือ 14 วัน แต่ในความจริง คนจำนวนไม่น้อยไม่มีเงินก้อนพอจะจ่ายล่วงหน้า WATT'S UP จึงปรับระบบใหม่ ให้สามารถเช่าแบบรายวันได้ เพื่อไม่ให้ผู้ใช้ต้องเดือดร้อนเรื่องเงินสดในมือ หรือถึงขั้นไปกู้ยืมมาใช้

อีกด้านคือ หลายคนยังลังเลที่จะเปลี่ยนมาใช้ EV เพราะความคุ้นชินกับรถสันดาป บางส่วนไม่มั่นใจในระบบไฟฟ้า ขณะที่ราคาของแบตเตอรี่ก็ยังถูกมองว่าสูง อีกทั้งรถสันดาปยังมีข้อได้เปรียบในสายตาผู้ใช้บางกลุ่มว่า เมื่อผ่อนเสร็จแล้วยังสามารถขายต่อเป็นรถมือสองได้ ต่างจาก EV ที่ยังเป็นเรื่องใหม่ รวมทำให้ตั้งคำถามว่า "การเปลี่ยนมาใช้รถ EV จะคุ้มจริงหรือไม่" 

ขณะเดียวกัน บางคนก็ยังกังวลว่าตู้สลับแบตเตอรี่ครอบคลุมเพียงพอหรือยัง หรือแอปพลิเคชันใช้งานสะดวกพอที่จะตอบโจทย์ชีวิตประจำวันหรือไม่

หัวใจของการเปลี่ยนผ่านนี้จึงอยู่ที่ โมเดลการใช้จ่าย รถสันดาปต้องผ่อนคงที่ต่อเดือน ไม่ว่าจะใช้หรือไม่ใช้ก็ยังมีค่าผ่อนและค่าซ่อมบำรุง ในขณะที่รถไฟฟ้าภายใต้ WATT'S UP เปิดทางเลือกใหม่ด้วยแนวคิด "Pay-per-use" ใช้เมื่อไหร่ ค่อยจ่ายเมื่อนั้น วันไหนหยุดก็ไม่ต้องเสียเงิน

ดร.กรินทร์ ย้ำว่าคนจำนวนไม่น้อยยังไม่ตระหนักถึงต้นทุนที่แท้จริงของการใช้รถสันดาป เช่น ดอกเบี้ยผ่อนรถมอเตอร์ไซค์ ที่ดูเหมือนน้อยเพียง 1–2% ต่อเดือน แต่เมื่อคิดเป็นรายปีแบบทบต้นแล้วจริง ๆ สูงถึงหลายสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งกลายเป็น "ต้นทุนที่มองไม่เห็น" และบั่นทอนรายได้ของผู้ใช้โดยไม่รู้ตัว

เมื่อเปรียบเทียบต้นทุนอย่างตรงไปตรงมา การขับรถจักรยานยนต์สันดาปอยู่ที่ราว 300–400 บาทต่อวัน แต่ถ้าเป็นการเช่ารถไฟฟ้าผ่าน WATT'S UP ต้นทุนจะเหลือเพียง ร้อยกว่าบาทต่อวัน รวมค่าบำรุงรักษาและพลังงานแล้วทั้งหมด 

การขยายตลาดและพันธมิตร จากเมืองมหาวิทยาลัยสู่เมืองท่องเที่ยว

หลังจากเปิดตัว WATT'S UP ในฐานะแพลตฟอร์มกลางเชื่อมโลกของยานยนต์ไฟฟ้า ดร.กรินทร์ เล่าว่าก้าวสำคัญต่อมาคือการทดสอบการใช้งานจริงในพื้นที่ที่สะท้อนวิถีชีวิตของผู้ใช้ที่แตกต่างกันไป เชียงใหม่ เป็นเมืองแรกของ การทดลอง (Pilot Project) เพราะเห็นศักยภาพสองด้านในเวลาเดียวกัน ทั้งในฐานะ "เมืองมหาวิทยาลัย" ที่มีนักศึกษาเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ เปิดรับเทคโนโลยี และในฐานะ "เมืองท่องเที่ยว" ที่มีผู้คนเดินทางหมุนเวียนตลอดทั้งปี

การเลือกเชียงใหม่ไม่ใช่เพียงเพื่อทดสอบระบบ แต่เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมจริงของผู้ใช้ ทั้งกลุ่มที่อยากเช่าใช้ระยะสั้นเพียง 7–14 วัน และกลุ่มนักศึกษา คนท้องถิ่นที่ใช้ในชีวิตประจำวัน หากการทดลองประสบความสำเร็จ

ดร.กรินทร์ย้ำว่า WATT'S UP พร้อมจะขยายต่อไปยังหัวเมืองท่องเที่ยวหลักอย่าง "ภูเก็ต" และ "พัทยา" เมืองที่นักท่องเที่ยวต่างชาติคุ้นชินกับการเช่ารถจักรยานยนต์ แต่การใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าจะช่วยลดเสียง ลดคาร์บอน และสร้างภาพลักษณ์ใหม่ที่ยั่งยืน

สิ่งที่ WATT'S UP ให้ความสำคัญอย่างมาก คือ การทำให้ประสบการณ์เช่าใช้ง่ายที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ไม่ต้องการกระบวนการซับซ้อน ไม่ต้องเสียเวลายืนยันตัวตนหลายขั้นตอน หรือเดินทางไปสาขาธนาคารเพื่อเปิดการใช้งาน

ต้องหาวิธีให้สามารถเช่าได้ง่าย คืนเมื่อไหร่ก็ได้ ใช้กี่วันก็ได้ และระบบการจ่ายเงินต้องสะดวกเชื่อมโยงกับช่องทางที่สะดวกเเละคุ้นเคย 

ความสะดวกเหล่านี้ไม่ใช่แค่เพิ่มโอกาสการใช้งาน แต่ยังช่วยให้เมืองท่องเที่ยวเกิดเศรษฐกิจเสริม (Tourism Economy) ที่มีคุณภาพขึ้น นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางได้มากกว่า 1–2 สถานที่ต่อวัน เพิ่มการใช้จ่ายต่อหัว ขณะเดียวกันก็ลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากมลพิษทางอากาศและเสียง

ขยายพันธมิตร (Partnership Ecosystem)

นอกจากการขยายพื้นที่ WATT'S UP ยังขยายในเชิงพันธมิตรด้วย จากเดิมที่เริ่มต้นเพียงหนึ่งราย ปัจจุบันมีราว 4 รายที่เข้ามาร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ แม้จะยังอยู่ในช่วงทดลอง แต่เป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนความเชื่อมั่นต่อระบบกลางเเละกลายเป็น "ฟลูพาร์ทเนอร์" เเละขยายเพิ่มขึ้นได้

ดร.กรินทร์มองไปข้างหน้าว่า พาร์ทเนอร์ในอนาคตอาจไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้ผลิตโดยตรง แต่รวมถึง "ดีลเลอร์ท้องถิ่น" ที่รู้จักตลาดรถจักรยานยนต์ในภูมิภาคอย่างลึกซึ้ง สิ่งนี้จะทำให้ WATT'S UP แข็งแรงขึ้น และขยายครอบคลุมทั้งระดับประเทศได้เร็วกว่าเดิม

ในบางจังหวัด ดีลเลอร์ใหญ่ที่เคยให้เช่าซื้อรถมอเตอร์ไซค์อยู่แล้ว ก็สามารถปรับมาเป็นผู้ให้เช่า EV ได้เช่นกัน รถยี่ห้อเดียวกัน แต่มีผู้ให้บริการเช่าหลายรายในแต่ละพื้นที่

Fleet Transition ก้าวต่อไปสู่ลูกค้าองค์กร

ก้าวต่อไปของ WATT'S UP ไม่ได้หยุดแค่ผู้ใช้รายบุคคลหรือไรเดอร์ แต่ยังมุ่งไปสู่การช่วยธุรกิจที่มี "ฟลีทมอเตอร์ไซค์" ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะบริษัทที่ตั้งเป้าหมาย Net Zero อยู่แล้ว

ดร.กรินทร์ อธิบายว่า WATT'S UP เริ่มคุยกับลูกค้าประเภทองค์กรที่มีรถใช้งานหลายสิบคันขึ้นไป เช่น บริษัทที่มีทีมแมสเซนเจอร์หรือทีมเดลิเวอรีจำนวนมาก เพื่อออกแบบการเปลี่ยนผ่านอย่างค่อยเป็นค่อยไป อาจเริ่มทีละล็อต เช่น 10 คัน หรือ 30 คัน

ข้อได้เปรียบคือ การเปลี่ยนจากการ "ซื้อ" มาเป็น "เช่าใช้" ไม่ได้กระทบกระแสเงินสดของบริษัท เพราะค่าเช่าอาจใกล้เคียงกับค่าน้ำมันและค่าซ่อมบำรุงเดิม ขณะเดียวกัน รถสันดาปเก่าก็ยังสามารถขายต่อเพื่อนำเงินสดกลับมาเสริมสภาพคล่องได้ ทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่ EV ขององค์กรเป็นไปได้จริง และตอบโจทย์ทั้งด้านต้นทุนและเป้าหมายสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

ทุกบริษัทที่ต้องการมุ่งสู่ Net Zero จะต้องกลับมาทบทวนการปล่อยคาร์บอนในทุกสโคป ทั้ง Scope 1, Scope 2 และ Scope 3 การเปลี่ยนฟลีทรถจักรยานยนต์มาเป็นไฟฟ้าคือหนึ่งในก้าวสำคัญที่จับต้องได้ทันที

WATT'S UP สู่ Top of Mind

ในภาพใหญ่ WATT'S UP ไม่ได้ต้องการเป็นแค่ผู้ให้บริการเช่ารถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า แต่กำลังสร้างการจดจำในฐานะ แบรนด์ที่เป็นคำตอบแรกเมื่อคนคิดถึง EV

ถ้าใครคิดถึงรถมอเตอร์ไซค์ EV ชื่อคือ WATT'S UP ดร.กรินทร์อธิบายที่มาของชื่อซึ่งเล่นคำจาก "watt" หรือหน่วยวัดพลังงานไฟฟ้า และเสียงพ้องกับคำทักทายภาษาอังกฤษ "What’s up" เพื่อสื่อสารให้จดจำง่ายทั้งกับผู้ใช้ไทยและต่างชาติ

เป้าหมายในอนาคตคือ ไม่ว่าลูกค้าจะเป็น ผู้ใช้งานประจำ (heavy user), คนที่ต้องการลองใช้ระยะสั้น, หรือแม้แต่นักท่องเที่ยวที่มาไทยเพียง 7–14 วัน WATT'S UP ต้องการเป็นแบรนด์แรกที่ถูกนึกถึง เพราะสามารถตอบโจทย์ทั้งการเดินทางที่ต้นทุนถูกลง และการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม