net-zero

ฟอสซิลกลายเป็นจุดอ่อน รัสเซียเสี่ยงเจอทรัมป์ฟาดด้วยภาษี

รัสเซียกำลังถูกบีบด้วยสิ่งที่เป็นจุดแข็ง "เชื้อเพลิงฟอสซิล" เมื่อสหรัฐขีดเส้นตาย 50 วันให้ยุติสงครามยูเครน ก่อนใช้มาตรการภาษีและคว่ำบาตรที่อาจกระทบรายได้หลัก

รัสเซียเป็นประเทศที่ใช้ พลังงานฟอสซิล เป็นเครื่องต่อรองทางภูมิรัฐศาสตร์ วันนี้กำลังเผชิญแรงกดดันครั้งใหม่ เมื่อ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ารัสเซียภายใน 50 วัน หากยังไม่มีข้อตกลงสันติภาพกับยูเครน พร้อมทั้งเตรียมมาตรการคว่ำบาตรทุติยภูมิ ที่อาจกระทบรายได้หลักของมอสโก น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ

ในช่วงที่ผ่านมา รัสเซียสามารถเลี่ยงการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกผ่านการส่งออกน้ำมันให้จีน อินเดีย และใช้ “กองเรือเงา” ในการลำเลียงพลังงานข้ามโลก แม้รายได้จะลดลงเล็กน้อย แต่ยังคงรักษาปริมาณการส่งออกไว้ได้ใกล้เคียงก่อนสงครามยูเครน

อย่างไรก็ตาม รัสเซียยังคงพึ่งพารายได้จากฟอสซิลกว่า 55% ของการส่งออก และคิดเป็นราว 16% ของ GDP  เทียบกับ 60 %และ 18 % ตามลำดับ ก่อนที่รัสเซียจะรุกรานยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ซึ่งถือเป็นการลดลงเล็กน้อย ซึ่งอาจกลายเป็นจุดอ่อนสำคัญในยุคที่โลกกำลังเดินหน้าสู่ Net Zero และใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น ในขณะที่รัสเซียไม่มีแผนเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างชัดเจน และยังใช้ฟอสซิลเป็นกลไกหลักทางเศรษฐกิจ 

การลดลงอย่างรวดเร็วของกระแสพลังงานของรัสเซียจากการคว่ำบาตรทางอ้อมเกือบจะแน่นอนว่าจะนำไปสู่ราคาพลังงานทั่วโลกที่สูงขึ้น โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ

ล่าสุด ทรัมป์ประกาศเส้นตาย 50 วัน พร้อมขู่ขึ้นภาษีศุลกากรต่อสินค้ารัสเซียสูงถึง 100% และอาจใช้รวมถึง “มาตรการคว่ำบาตรทุติยภูมิ (secondary sanctions)” ซึ่งหมายถึง การลงโทษประเทศที่ยังทำการค้ากับรัสเซีย โดยเฉพาะในกลุ่มน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ หากนำมาใช้จริง จะถือเป็นการเปลี่ยนเกมอย่างมีนัยสำคัญ เพราะก่อนหน้านี้ กลุ่ม G7 ยังไม่เคยแทรกแซงการขายพลังงานของรัสเซียกับประเทศนอกตะวันตก

ทรัมป์กล่าวว่า “ถ้าไม่มีข้อตกลง เราจะจัดหนักเรื่องภาษี” พร้อมเปิดเผยว่า หลายประเทศใน NATO ต้องการเข้าร่วมข้อตกลงด้านอาวุธ ขณะที่ยูเครนรีบสนับสนุนข้อเสนอหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไขจากสหรัฐฯ

ฝั่งรัสเซียยังไม่มีท่าทีตอบรับอย่างเป็นทางการ ดมิตรี เมดเวเดฟ เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของเครมลิน บอกว่า "คำขู่ของทรัมป์ก็แค่ละคร" และปูตินจะให้ความเห็นเมื่อเห็นว่าจำเป็น

ในทางเศรษฐกิจ นักวิเคราะห์เตือนว่า หากมาตรการภาษีใหม่ของทรัมป์ส่งผลให้การส่งออกพลังงานรัสเซียลดลงครึ่งหนึ่ง รัสเซียอาจสูญเสียรายได้ไม่ต่ำกว่า 75,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี และอาจเข้าสู่ภาวะวิกฤตการคลังในประเทศ

แม้สหรัฐฯ จะนำเข้าสินค้าจากรัสเซียเพียงเล็กน้อย (ราว 3 พันล้านดอลลาร์ หรือ 0.7% ของการส่งออกรัสเซียทั้งหมด) แต่สิ่งที่สหรัฐฯ กำลังทำไม่ใช่แค่การตั้งภาษี แต่คือการใช้ "พลังงาน" เป็นจุดโจมตีรัสเซียผ่านระบบการค้าระดับโลก ซึ่งอาจส่งผลสะเทือนทั้งกับมอสโก และประเทศที่ยังผูกโยงกับพลังงานรัสเซีย