net-zero

ภาษีทองแดงทรัมป์ย้อนศรสหรัฐ–จีนคุมห่วงโซ่พลังงานสะอาด

ทองแดงคือหัวใจของเทคโนโลยีพลังงานสะอาด แต่สหรัฐฯ ต้องพึ่งการนำเข้า การขู่ขึ้นภาษีทรัมป์อาจย้อนศรเป้าหมาย Net Zero ขณะที่จีนได้เปรียบเชิงโครงสร้าง

ทุกประเทศกำลังเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ทองแดงกลายเป็นวัตถุดิบยุทธศาสตร์ที่ขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ หรือโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ ความมั่นคงด้าน “ห่วงโซ่โลหะเพื่อพลังงานสะอาด” จึงไม่ใช่แค่เรื่องอุตสาหกรรม แต่กลายเป็นหัวใจของเป้าหมาย Net Zero ระดับโลก

อย่างไรก็ตาม การประกาศเก็บภาษีทองแดงที่นำเข้าสหรัฐฯ ในอัตรา 50% ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังกลายเป็นความท้าทายใหม่ของสหรัฐฯ ที่พึ่งพาการนำเข้าทองแดงจำนวนมาก ขณะที่จีนกลับยึดครองห่วงโซ่ผลิตสำคัญไว้ได้อย่างครบวงจร

สหรัฐฯ พึ่งพาการนำเข้าทองแดงมากแค่ไหน

สหรัฐฯ ผลิตทองแดงกลั่นได้เพียงเล็กน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณที่บริโภคในแต่ละปี ส่วนที่เหลือ ซึ่งเกือบหนึ่งล้านตัน ต้องนำเข้า ทองแดงของสหรัฐฯ มากกว่าสองในสามถูกทำเหมืองในรัฐแอริโซนา ซึ่งการพัฒนาเหมืองขนาดใหญ่แห่งใหม่ถูกเลื่อนออกไปนานกว่าทศวรรษ เนื่องจากความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม

แม้ทรัมป์จะระบุมาโดยตลอดว่าภาษีศุลกากรต่อโลหะเป็นวิธีรับมือการครอบงำตลาดโลหะของจีนในระดับโลก แต่ความจริงแล้ว สหรัฐฯ นำเข้าทองแดงกลั่นส่วนใหญ่จากประเทศในทวีปอเมริกา ตามข้อมูลของสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS) ชิลีจัดหาทองแดงกลั่นให้สหรัฐฯ ร้อยละ 65 ในปี 2023 ตามด้วยแคนาดา ร้อยละ 17 และเปรู ร้อยละ 6

Maximo Pacheco ประธานบริษัท Codelcom ผู้ผลิตทองแดงของรัฐชิลี กล่าวว่า ต้องดูว่ามาตรการนี้จะนำมาใช้กับทุกประเทศหรือแค่บางประเทศ เพื่อตอบสนองต่อความเคลื่อนไหวของทรัมป์

สหรัฐฯ เปรียบเทียบกับจีนในด้านทองแดงอย่างไร

แม้สหรัฐฯ จะเป็นผู้บริโภคทองแดงรายใหญ่อันดับสองของโลก แต่ผู้ทำเหมืองในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ส่งทองแดงไปแปรรูปที่จีนและประเทศอื่นในเอเชียซึ่งมีต้นทุนถูกกว่า จีนเป็นผู้บริโภคทองแดงรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีสัดส่วนความต้องการทองแดงทั่วโลกเกินกว่าร้อยละ 50 แต่แตกต่างจากสหรัฐฯ ตรงที่ทองแดงส่วนใหญ่ของจีนถูกแปรรูปโดยบริษัทภายในประเทศ

ทองแดงเข้มข้น 23.4 ล้านตันที่จีนสั่งนำเข้าส่วนใหญ่มาจากชิลี เปรู และเม็กซิโก ส่วนประเทศปลายทางส่งออกผลิตภัณฑ์ทองแดงของจีนที่ใหญ่ที่สุดคือไทย เวียดนาม และเกาหลีใต้

ในแง่กำลังการผลิตทองแดง ภาคการหลอมทองแดงของจีน (ซึ่งเป็นกระบวนการแยกโลหะแดงออกจากแร่โดยให้ความร้อนสูง) มีขนาดใหญ่กว่าประเทศอื่น ๆ รวมถึงสหรัฐฯ อย่างมาก จีนมีโรงหลอมทองแดงหลายสิบแห่งที่ดำเนินงานในปี 2024 ขณะที่สหรัฐฯ มีโรงหลอมทองแดงหลักเพียงสองแห่ง ตามข้อมูลของ USGS

เมื่อเทียบกับจีน ภาคส่วนทองแดงของสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับต้นทุนพลังงานที่สูงกว่า กำลังการหลอมที่น้อยกว่า และการสนับสนุนจากภาครัฐที่น้อยกว่า นอกจากนี้ บริษัทจีนมักจะเป็นเจ้าของเหมือง โรงหลอม และหน่วยประกอบของตนเอง ทำให้ลดต้นทุนการทำธุรกรรมและเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์

การเปลี่ยนระบบพลังงานและการขนส่งให้ใช้พลังงานหมุนเวียนต้องการทองแดงกลั่นมากกว่าที่บริษัทในสหรัฐฯ สามารถผลิตได้ในปัจจุบัน ทองแดงเป็นโลหะสำคัญในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า อุปกรณ์ทางทหาร ระบบโครงข่ายไฟฟ้า และสินค้าอุปโภคบริโภคจำนวนมาก

การขู่จะขึ้นภาษีของทรัมป์จึงอาจทำให้เกิดการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ด้วยเหตุนี้ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองแดง ซึ่งเป็นมาตรวัดราคามาตรฐานของโลหะชนิดนี้  พุ่งขึ้นมากกว่า 12% สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลังจากที่ทรัมป์ประกาศแผนขึ้นภาษี