net-zero

TPIPP อัด 6 พันล้าน สู่ Net Zero เลิกใช้ถ่านหิน-เพิ่มกำลังผลิตพลังงานแสงอาทิตย์

ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ กางแผนลงทุนช่วง 2 ปี (2568-2569) อัดงบลงทุนอีกราว 5-6 พันล้านบาท ปรับปรุงโรงไฟฟ้า เลิกใช้เชื้อเพลิงถ่านหินภายในสิ้นปีนี้ พร้อมเดินหน้าเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานขยะ และพลังงานแสงอาทิตย์สู่ Net Zero

บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP ผู้นำด้านพลังงานจากขยะและพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทย ได้จัดทำกลยุทธ์ การวางแผนการลงทุนและการเงิน เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสร้างความยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดนมีเป้าหมายที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2580 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายของประเทศไทยถึง 13 ปี จากที่กำหนดไว้ในปี 2593 ด้วยวิสัยทัศน์และพันธกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืนและการเป็นบริษัท Net Zero ด้วยหลัก ESG (Environmental, Social, and Governance)

นายภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ รับผิดชอบสายบัญชีและการเงิน บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP เปิดเผยว่า ในการขับเคลื่อนให้บริษัทบรรลุ Net Zero การดำเนินงานระยะสั้นบริษัทได้วางแผนการลงทุนและการเงินในช่วง 5 ปี (2565-2569) ไว้ราว 15,476 ล้านบาท หรือเฉลี่ยลงทุนปีละประมาณ 3 พันล้านบาท เพื่อลงทุนในเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การแปรรูปขยะเป็นเชื้อเพลิงทดแทนถ่านหินในกระบวนการผลิตไฟฟ้า และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม เป็นต้น โดยในช่วง 2 ปีนี้ (2568-2569) คาดว่าจะใช้เงินลงทุนอีกราว 5-6 พันล้านบาท

TPIPP อัด 6 พันล้าน สู่ Net Zero เลิกใช้ถ่านหิน-เพิ่มกำลังผลิตพลังงานแสงอาทิตย์

สำหรับเม็ดเงินลงทุนในปี 2568 จะนำไปใช้สำหรับการปรับปรุงโรงไฟฟ้า TG8 กำลังผลิต 150 เมกะวัตต์ ให้สามารถใช้เชื้อเพลิงขยะชุมชนแทนถ่านหินได้ทั้งหมด ภายในสิ้นปี 2568 ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิงลงได้ราว 30% และช่วยลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละประมาณ 0.92 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และได้คาร์บอนเครดิตปีละประมาณ 1.39 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

อีกทั้ง นำไปใช้ลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าขยะชุมชนโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชน 2 แห่ง ในจังหวัดสงขลา กำลังผลิต 9.9 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าแล้ว 80 % และที่จังหวัดมุกดาหาร กำลังผลิต 9.9 gมกะวัตต์ มีความคืบหน้า 12 %

รวมถึงการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนพื้นดิน (Solar Farm) ที่จังหวัดสระบุรี เฟส 3 กำลังผลิต 9.6 เมกะวัตต์ ที่มีกำหนดเปิดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ และ Solar Farm เฟส 4 กำลังผลิต 14.48 เมกะวัตต์ ซึ่งจะ COD ช่วงปลายปี 2568 เมื่อรวมทั้งเฟส 1-4 จะมีกำลังผลิตอยู่ที่ 76.28 เมกะวัตต์ และเมื่อรวมกำลังการผลิตของโซลาร์รูฟท็อป ที่เปิดดำเนินการแล้วอีก 5.1 เมกะวัตต์ จะทำให้บริษัทมีกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์รวม 81.38 เมกะวัตต์

จากการดำเนินงานดังกล่าว จะส่งผลให้ในปี 2568 บริษัทมีกำลังผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวมอยู่ที่ 497.2 เมกะวัตต์ เป็นในส่วนของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้ง 40 เมกะวัตต์ จากพลังงานแสงอาทิตย์ 57.2 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้าขยะ 250 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าถ่านหิน 150 เมกะวัตต์

ขณะที่ปี 2569 เมื่อมีการปรับปรุงโรงไฟฟ้าถ่านหินเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงขยะ จะส่งผลให้โรงไฟฟ้าขยะ มีกำลังผลิตอยู่ที่ 410 เมกะวัตต์ พลังงานแสงอาทิตย์ 81.4 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้ง 40 เมกะวัตต์ รวมกำลังผลิต 531.4 เมกะวัตต์ และในปี 2570 จะมีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 541.4 เมกะวัตต์ โดยมีกำลังผลิตไฟฟ้าจากขยะเพิ่มขึ้นมาอีก 10 เมกะวัตต์ ซึ่งยังไม่รวมถึงโครงการ Battery Storage 20 เมกะวัตต์ เพื่อสำรองไฟฟ้าไว้ใช้ในช่วงไม่มีแสงแดด

นอกจากนี้ บริษัท ยังมีโครงการที่ชนะการประมูลตามโครงการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in-Tariff ( FIT) สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง (โซลาร์ ฟาร์ม) กำลังผลิต 280 เมกะวัตต์ ซึ่งอยู่ระหว่างรอการปลดล็อกจากรัฐบาล รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าขยะ กำลังผลิต 9.9 เมกะวัตต์ ในจังหวัดเชียงราย ที่รอการลงนามซื้อขายไฟฟ้าหรือ (PPA)

 นายนายภัคพล กล่าวอีกว่า จากการดำเนินงานพัฒนาพลังงานสะอาดของบริษัท สิ้นไตรมาสแรกปี 2568 บริษัทสามารถนำขยะทุกประเภทรวมทั้งสิ้นจำนวน 781,686 ตัน มาใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าของบริษัทฯ และขายขยะที่คัดแยกให้แก่โรงปูนซิเมนต์ของบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตปูนซิเมนต์ ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 1,813,511.52 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

อีกทั้ง บริษัทได้รับการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. รวมจำนวน 2,022,585 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และได้รับการรับรอง Renewable Energy Certificate (REC) ผ่านการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จากการผลิตไฟฟ้าพลังงานขยะและความร้อนเหลือทิ้ง)

โดยได้ลงทะเบียนและเปิดบัญชีซื้อขายปริมาณ REC ที่ได้ไว้กับ The International REC Standard (1-REC) ซึ่งสามารถจำหน่ายให้กับองค์กรที่ต้องการแสดงความมุ่งมั่นในการลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจำนวน 3,175,293 RECs และอยู่ระหว่างการขอการอนุมัติอีกราว 693,608 RECs

ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการขอขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตเพิ่มขึ้นอีก 4.60 แสนตัน เมื่อถึงสิ้นปี 2568 บริษัทจะมีคาร์บอนเครดิตรวมอยู่ที่ 2,482,585 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า