“ฐานเศรษฐกิจ” จัดสัมมนา "ROAD TO NET ZERO 2025 : THAILAND GREEN ACTION” เพื่อสะท้อนมุมมองและความก้าวหน้าของผู้นำภาคธุรกิจเอกชนไทยในการขับเคลื่อนองค์กรเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero โดยมีผู้นำภาคธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตร อาหาร อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน โลจิสติกส์ สื่อสาร และการเงินเข้าร่วมอย่างคับคั่ง
นายภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบัญชีและการเงิน บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด(มหาชน) หรือ TPIPP กล่าวในหัวข้อ Bio-Circular Green Economy กับการพัฒนาที่ยั่งยืน ว่า TPIPP มุ่งมั่นลดการพึ่งพาถ่านหิน และใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างธุรกิจพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน
โดย 3 กลยุทธ์สู่ความยั่งยืนของ TPIPP คือ
1.พัฒนาโซลาร์ฟาร์ม TPIPP ลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) อย่างต่อเนื่องโดย ดำเนินการติดตั้ง Solar Rooftop แล้ว 6 เมกะวัตต์ ถัดมาเป็นโซลาร์ฟาร์มเฟส 1–2 ที่ จ.สระบุรี ผลิตได้ 52.2 เมกะวัตต์ จากกำลังผลิตรวม 61 เมกะวัตต์ และโซลาร์ฟาร์มเฟส 3-4 จะผลิตประมาณ 28.4 เมกะวัตต์ ซึ่งจะผลิตจริง 24.1 เมกะวัตต์ ในช่วงประมาณเดือนสิงหาคม 2569 โดยขายไฟฟ้าที่ผลิตได้ให้กับบริษัทแม่
2.เปลี่ยนเชื้อเพลิงจากถ่านหินเป็นขยะTPIPP ค่อย ๆ ทดแทนถ่านหินด้วยขยะในโรงไฟฟ้ากำลังผลิตรวม 220 เมกะวัตต์ โดยเฟส 1-3 ใช้ขยะทดแทนถ่านหินแล้วแล้วเสร็จไปแล้วประมาณ 40% และเฟส 4 คาดแล้วเสร็จต้นปี 2568 ซึ่งเวลานี้ทดแทนไปได้แล้วประมาณ 20% และเฟส 5 เพิ่งแล้วเสร็จเมื่อไม่นานมานี้และทดแทนไปได้อีก 20% และในเฟส 6 คาดจะแล้วเสร็จสิงหาคม 2568 ที่จะทดแทนได้อีก 20% เมื่อดำเนินการครบ จะหยุดใช้ถ่านหินทั้งหมด และกลายเป็น Coal-Free Power Plant ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2569
3.สร้างโรงไฟฟ้าขยะขนาดเล็กในภูมิภาค โดย จ.สงขลา ผลิตไฟฟ้าได้จริง 7.9 เมกะวัตต์ จากกำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์, จ.มุกดาหาร ผลิตจริง 8 เมกะวัตต์ (จาก 9.9 เมกะวัตต์) และอยู่ระหว่างเคลียร์พื้นที่ส่วนตัวอย่างความสำเร็จในการจัดการขยะ การฟื้นฟูบ่อขยะที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมได้ภายใน 4 ปี (เปรียบเทียบปี 2565 กับปี 2568)
“TPIPP ไม่เพียงแค่ลดการใช้ถ่านหิน แต่ยังนำขยะที่ไม่มีมูลค่ามาแปรรูปเป็นพลังงาน ช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ เราเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน เดินหน้าสู่ Net Zero อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการลงทุนที่สร้างทั้งสิ่งแวดล้อมที่ดี และธุรกิจที่เติบโตได้จริง”นายภัคพล กล่าว
นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และงานธุรกิจสัมพันธ์ของ AIS กล่าวในหัวข้อ AIS Signal of Sustainable Future สัญญาณยืดเวลาโลก ว่า การใช้ AI ในการบริหารจัดการพลังงานของบริษัท โดยเทคโนโลยี AI สามารถปรับการใช้พลังงานในสถานีฐานและศูนย์ข้อมูลให้มีประสิทธิภาพสูงสุดผ่านการปรับโหลดพลังงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์จริง เช่น การลดการใช้พลังงานในช่วงที่ไม่จำเป็น และการคาดการณ์ความต้องการพลังงานล่วงหน้าในช่วงเวลาต่าง ๆ ทำให้สามารถรักษาประสิทธิภาพการทำงานของเครือข่ายได้ตลอดเวลา
AIS ยังตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 25% ภายในปี 2030 โดยมีการดำเนินโครงการต่าง ๆ เช่น การใช้พลังงานสะอาดจากแหล่งธรรมชาติทั้งพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม อีกทั้งยังมีการใช้พลังงานทดแทนในสำนักงานและศูนย์ข้อมูลทั่วประเทศ อีกหนึ่งโครงการที่น่าสนใจคือการรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ (e-Waste) ซึ่ง AIS ร่วมมือกับพันธมิตรกว่า 240 องค์กรในประเทศ และเปิดจุดรับขยะอิเล็กทรอนิกส์กว่า 2,700 จุด เพื่อจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี
นางสาวจันต์สุดา ธนานิตยะอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แกร็บ ประเทศไทย จำกัด (Grab) กล่าวว่า Grab ได้ขยายการใช้เทคโนโลยี AI ในการพัฒนาบริการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานให้ดีขึ้น ทั้งในด้านการจัดการเส้นทางขนส่งและการพัฒนาเทคโนโลยีที่รองรับการบริการให้มีความยั่งยืน
นอกจากนี้ Grab ยังมีแผนที่จะขยายการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งนอกจากจะช่วยลดมลพิษทางอากาศแล้ว ยังช่วยประหยัดต้นทุนในการดำเนินงานของผู้ขับขี่อีกด้วย Grab ได้ร่วมมือกับ BYD เพื่อนำรถ EV จำนวน 50,000 คันมาจัดส่งให้กับคนขับในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีแผนที่จะขยายการใช้ EV อย่างต่อเนื่องในอนาคต
ในปี 2567 Grab สามารถลดการปล่อยคาร์บอนถึง 128,000 ตันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถือเป็นผลจากการขยายการใช้รถ EV และการลดการใช้พลังงานฟอสซิลในทุกๆ ด้านของธุรกิจ นอกจากนี้ Grab ยังให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานทดแทน 100% ในสำนักงานทั่วภูมิภาค โดยในประเทศไทย, Grab ได้ใช้พลังงานทดแทน 100% ในสำนักงานทั้งในกรุงเทพและเชียงใหม่ผ่านการใช้ Renewable Energy Certificates (REC) ซึ่งเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
นอกจากการใช้ EV แล้ว Grab ยังเปิดตัวฟีเจอร์ “Carbon Offset” ที่ช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถบริจาคเพื่อช่วยลดการปล่อยคาร์บอนจากการเดินทาง โดยการบริจาคเริ่มต้นที่ 1-2 บาท ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้ใช้บริการมากขึ้นในปี 2567 โดยจำนวนออเดอร์ที่เลือกใช้ฟีเจอร์นี้เพิ่มขึ้นถึง 30% จากปี 2566
นอกจากนี้ Grab ยังได้สนับสนุนให้ผู้บริโภคใช้ฟีเจอร์ที่ช่วยลดการใช้พลาสติก เช่น การสั่งอาหารแบบกลุ่ม (Group Order) หรือ การจัดส่งอาหารและการเดินทางแบบประหยัด (SAVER) โดยในปี 2567 Grab สามารถงดรับช้อนส้อมพลาสติกและหลอดพลาสติกเกือบพันล้านชิ้นทั่วภูมิภาค
นายประกอบ เพียรเจริญ ผู้บริหารด้านลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวในหัวข้อ Sustainable Finance and Banking ว่า ธนาคารมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนลูกค้าเข้าใจและปรับกระบวนการสู่ ESG เพราะการเงินมีผลโดยตรงต่อการลงทุนของธุรกิจ
ทั้งนี้แรงผลักธุรกิจสู่ ESG มี 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ต้นทุนลดลง เช่น สินเชื่อ Solar Rooftop ช่วยประหยัดค่าไฟ,แรงกดดันจากคู่ค้า โดยเฉพาะลูกค้าต่างชาติที่ต้องการ Net Zero Pathway, ข้อบังคับจากบริษัทแม่ บริษัทข้ามชาติกำหนดให้บริษัทลูกต้องปฏิบัติตามเป้าหมาย ESG และกฎหมายของรัฐบาลไทย ที่กำลังจะออกมา เช่น พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึง Taxonomy (การจัดหมวดหมู่กิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม) ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการกำกับการดำเนินงานของธนาคาร
สำหรับยุทธศาสตร์ของธนาคารกรุงศรีอยุธยาในด้านการขับเคลื่อนการเงินยั่งยืน มี 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.การทำงานร่วมกับองค์กรและหน่วยงานภายนอก โดยองค์กรระหว่างประเทศ เช่น MUFG, ADB, IFC) ในการนำความรู้และแนวทางปฏิบัติเรื่อง Green Finance มาใช้ในไทย เช่น Carbon Capture Storage หรือการให้กู้ร่วม ส่วนหน่วยงานในต่างประเทศ เช่น ธปท. ตลาดหลักทรัพย์ โดยมีการทำงานใกล้ชิดเพื่อแบ่งปันข้อมูลและเรียนรู้ร่วมกัน
2. การปรับเปลี่ยนภายในของธนาคารเอง โดยประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของพอร์ตสินเชื่อและมีแผนที “ลดแบบจริงจัง” เพื่อให้อุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5-2 องศาเซลเซส การตั้งเป้าหมายและแผนปฏิบัติการ โดยแบ่งพอร์ตสินเชื่อเป็น Green,Amber และ Red โดยมีเป้าหมายลดสินเชื่อที่เป็นสีแดง และสีเหลืองให้เร็วที่สุด และการป้องกัน Greenwashing ที่ต้องมีกระบวนการตรวจสอบและวัดผลข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
“เพื่อทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นและลดผลกระทบจากภัยธรรมชาติ การทำ ESG ไม่ใช่ควรมองว่าเป็นต้นทุน แต่เป็นการลงทุน ที่จะช่วยให้บริษัทเติบโตได้อย่างยั่งยืน ผู้ที่เริ่มต้นทำก่อนจะได้เปรียบและสามารถหาตลาดใหม่ ๆ ได้” นายประกอบ กล่าว
ดร.ณัฐจารีย์ ศรีเพ็ชร์ ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจพลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บรรยายในหัวข้อ Advancing Towards Green Electricity : ภารกิจกับการพัฒนายั่งยืน ว่า ร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยพ.ศ. 2567-2580 หรือแผน PDP 2024 อยู่ระหว่างการนำเสนอภาครัฐเพื่อจัดสินใจเกี่ยวกับพลังงานสีเขียวอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ตามแผนตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็น 51% ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเหลือ 7% และควบคุมต้นทุนค่าไฟไม่เกิน 4 บาทต่อหน่วย
กฟผ. ขับเคลื่อนพลังงานสะอาดผ่าน 3 แนวทางหลัก ได้แก่ ยกระดับระบบไฟฟ้าโดยการปรับปรุงโครงข่ายให้ทันสมัย (Grid Modernization) พร้อมระบบพยากรณ์และควบคุมโหลด, ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน(RE) โดยขยายโครงการโซลาร์ลอยน้ำใน 10 เขื่อนทั่วประเทศ รวมถึงโรงไฟฟ้าสูบกลับเพิ่มเสถียรภาพ,นวัตกรรมพลังงาน ศึกษาเทคโนโลยี SMR พลังงานนิวเคลียร์ ไฮโดรเจน และระบบกักเก็บพลังงาน
ในส่วนบริการพลังงานสีเขียว กฟผ. ดำเนินการออกใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (REC) และเปิดทางเลือก “Utility Green Tariff” ให้ลูกค้าเลือกใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดทั้งจากเขื่อน (UGT1) หรือแหล่งเฉพาะ (UGT2) พร้อมเดินหน้าโครงการ EV, สถานีชาร์จ และยกระดับฉลากเบอร์ 5 ขณะเดียวกัน รัฐเปิดให้เอกชนเข้าถึงระบบไฟฟ้ารัฐผ่านบุคคลที่ 3 “Third Party Access” ประมาณ 2,000 เมกะวัตต์ก่อน และให้ใช้เฉพาะดาต้าเซ็นเตอร์เท่านั้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง