คำมั่นของยุโรปในการเพิ่มงบกลาโหมจะส่งผลกระทบต่อโครงการด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม แผนการใช้จ่ายของนาโต้ละเลยความเสี่ยงด้านความมั่นคงที่เกิดจากวิกฤตสิ่งแวดล้อมและการเสื่อมถอยของสังคม
นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า ยุโรปเสี่ยงที่จะเลือกใช้แนวทางทหารนิยมแทนที่จะให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางสังคมและสิ่งแวดล้อม นักเศรษฐศาสตร์เตือน หลังจากที่ผู้นำนาโต้ระบุว่าสมาชิกทั้ง 32 ประเทศเห็นพ้องที่จะเพิ่มงบประมาณด้านอาวุธ
บทวิเคราะห์ที่จัดทำขึ้นก่อนการประชุมสุดยอดของนาโต้ เตือนถึงต้นทุนทางเลือกที่เกิดจากการเพิ่มการใช้จ่ายทางทหาร ซึ่งอาจกระทบต่อโครงการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและโครงการทางสังคมของทวีป ที่ขาดแคลนงบประมาณอย่างต่อเนื่อง
สหรัฐฯ ซึ่งเป็นสมาชิกหลักของพันธมิตร และ มาร์ก รุตเต้ เลขาธิการ NATO คาดว่าสมาชิกจะเห็นชอบข้อเสนอให้เพิ่มเป้าหมายการใช้จ่ายด้านกลาโหมอย่างมากจาก 2 % เป็น 5 %ของจีดีพี
แต่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยระบุว่าการให้ความสำคัญกับงบประมาณทางทหาร ซึ่งต่อยอดจากการเพิ่มงบฯ จำนวนมากของประเทศยุโรปในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้ละเลยความเสี่ยงด้านความมั่นคงที่เกิดจากความล่มสลายของสิ่งแวดล้อมและความเสื่อมโทรมของสังคม
เซบาสเตียน มัง เจ้าหน้าที่นโยบายอาวุโสแห่งมูลนิธิเศรษฐศาสตร์ใหม่ (NEF) กล่าวว่า การอภิปรายเรื่องการคลังภาครัฐของยุโรปไม่เคยอยู่ที่ว่าเราสามารถจ่ายได้หรือไม่ แต่ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลเลือกจะให้ความสำคัญกับอะไร เมื่อได้ให้คำมั่นไปแล้วว่าจะเพิ่มงบกลาโหม แผนที่จะเพิ่มการใช้จ่ายให้สูงขึ้นไปอีกยิ่งเผยให้เห็นถึงสองมาตรฐานที่ใช้กับการลงทุนด้านภูมิอากาศ ที่อยู่อาศัย และบริการดูแล
หากสามารถระดมงบประมาณมหาศาลให้กับกองทัพ ซึ่งให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจต่ำกว่าและประโยชน์ทางสังคมน้อยกว่ามาก การปฏิเสธที่จะให้ทุนแก่การเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นธรรมและการบริการสาธารณะที่เข้มแข็งกว่าก็ชัดเจนว่าเป็นเรื่องการเมือง ไม่ใช่เศรษฐศาสตร์
ตามข้อเสนอของนาโต้ สมาชิกจะเพิ่มการใช้จ่ายเป็น 3.5 % ของจีดีพี สำหรับการป้องกันแข็งแกร่ง เช่น รถถัง ระเบิด และยุทโธปกรณ์อื่น ๆ และจะจัดสรรอีก 1.5 % ให้กับด้านความมั่นคงในภาพรวม ซึ่งรวมถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์และการเคลื่อนย้ายทางทหาร
การวิเคราะห์โดย NEF พบว่า เป้าหมายร้อยละ 5 ของจีดีพีจะทำให้เฉพาะสมาชิกนาโต้ที่อยู่ในอียูต้องเพิ่มการใช้จ่ายปีละ 613,000 ล้านยูโร ซึ่งสูงกว่าช่องว่างงบประมาณประจำปีที่จำเป็นในการบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของอียู ซึ่งอยู่ระหว่าง 375,000 ล้านยูโร ถึง 526,000 ล้านยูโร
แม้แต่เพียงการบรรลุเป้าหมาย 3.5% สมาชิกอียูในนาโต้ก็ต้องจัดหาเงินเพิ่มเติมปีละ 360,000 ล้านยูโร เพื่อการใช้จ่ายด้านทหาร
เพื่ออธิบายถึงการเพิ่มงบประมาณ โดนัลด์ ทรัมป์ และเสียงวิจารณ์อื่น ๆ จากสหรัฐฯ ได้ออกมาตำหนิอย่างต่อเนื่องว่าชาติพันธมิตรยุโรปพึ่งพาการสนับสนุนทางทหารจากสหรัฐฯ มากเกินไป ขณะที่รุตเตอเตือนถึง ภัยคุกคามที่สำคัญและโดยตรงจากรัสเซีย
แต่ NEF ระบุว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผล ไม่ว่าจะในแง่เศรษฐกิจหรือความมั่นคง เนื่องจากการเพิ่มงบประมาณทางทหารในขณะที่ตัดงบประมาณด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม เสี่ยงต่อการกระตุ้นปฏิกิริยาต่อต้านจากประชาชน ขยายความเหลื่อมล้ำ และบ่อนทำลายความไว้วางใจต่อสถาบันประชาธิปไตย
การร้องขอให้พลเมืองรัดเข็มขัด ในขณะที่งบประมาณกลาโหมและผลกำไรของนักลงทุนในอาวุธพุ่งสูง ถือเป็นการบ่อนทำลายความยืดหยุ่นทางสังคมซึ่งเป็นรากฐานของความมั่นคง
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา สหราชอาณาจักรให้คำมั่นว่าจะเพิ่มเป้าหมายการใช้จ่ายด้านกลาโหมจาก 3 % ของจีดีพี เป็น 5 % ภายในปี 2035 หลังจากเผชิญแรงกดดันทางการทูตตลอดหลายสัปดาห์
องค์กรคลังสมอง Common Wealth พบว่าการเพิ่มงบประมาณกลาโหมเป็น 3.5 % ของจีดีพี จะทำให้สหราชอาณาจักรต้องใช้งบเพิ่มอีก 32,000 ล้านปอนด์ต่อปี ซึ่งเพียงพอที่จะครอบคลุมวงจรชีวิตทั้งหมดของโครงการพลังงานลมบนบกที่ผลิตได้ 620 เทราวัตต์ชั่วโมง หรือคิดเป็น 88 % ของความต้องการไฟฟ้าประจำปีของสหราชอาณาจักรในปี 2050
นอกจากต้นทุนทางเลือกแล้ว การเพิ่มงบประมาณทางทหารยังหมายถึงการเพิ่มการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมหาศาล เนื่องจากรถถัง เรือรบ และเครื่องบินที่ใช้พลังงานฟอสซิลจำนวนมากจะถูกผลิตและใช้งานในระดับใหญ่
ก่อนหน้านี้ในเดือนนี้ The Guardian รายงานว่า แผนการเสริมกำลังทหารของสมาชิกนาโต้ (ยกเว้นสหรัฐฯ) อาจทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นเกือบ 200 ล้านตันต่อปี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง